บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ในช่วงครึ่งเดือนแรก มี.ค. ดัชนี SET (SET Index ) ผันผวนมากกว่าที่คาด จากกระแสเงินทุนต่างประเทศไหลออก โดยดัชนี SET หลุดระดับ 1630, 1600 และ 1550 อย่างรวดเร็ว ถูกกดดันจากปัญหาภาคธนาคารในสหรัฐฯ ที่ขาดแคลนสภาพคล่องจนทำให้ทางการสหรัฐฯ ต้องสั่งปิดธนาคารบางแห่ง (Silicon Valley Bank และ Signature Bank) นอกจากนี้ ล่าสุดยังมีความกังวลเกี่ยวกับสถานะการเงินของธนาคาร Credit Suisse กระตุ้นแรงขายหุ้นกลุ่มแบงก์ทั่วโลกร่วงยกแผง
อย่างไรก็ดี ผลกระทบดังกล่าวค่อนข้างจำกัด และปัญหาการขาดแคลนสภาพคล่องน่าจะเป็นเฉพาะในบางธนาคารเท่านั้น รวมทั้งทางการของหลายประเทศเข้าช่วยแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว เช่น สหรัฐฯ ออกโครงการ “Bank Term Funding Program” เพื่อสนับสนุนธนาคารที่ขาดสภาพคล่อง เป็นต้น แต่อย่างไรก็ดี หากประชาชนแห่ถอนสินทรัพย์ต่อเนื่อง (Bank Run) อาจนำไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจได้ไม่ยาก แนะนำติดตามสถานการณ์ในต่างประเทศใกล้ชิด
นอกจากนี้ เราแนะนำติดตามความผันผวนของราคาน้ำมันประกอบด้วย เพราะมีผลต่อตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก ล่าสุด ราคาน้ำมันดิบ WTI และ Brent ที่ปรับตัวลงต่ำกว่าระดับ 70$ และ 75$ ตามลำดับ ปิดต่ำสุดใหม่นับตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2021 หรือมากกว่า 1 ปีเศษ เป็นความเสี่ยงต่อทิศทางตลาดหุ้นไทยและประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนอาจถูกปรับลงอีก หลังจากที่ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาเริ่มนิ่งแล้ว
ลุ้นฟันด์โฟลว์ไหลเข้ารอบใหญ่
ในทางเทคนิค SET Index ที่ปรับตัวลงหลุดแนวรับสำคัญหลายจุด ทำให้ภาพแนวโน้มเปลี่ยนเป็นแกว่งตัวในกรอบกว้างแล้ว อย่างไรก็ดี มอง SET Index ที่ปรับตัวลงมาทดสอบโซน 1510-1520 ซึ่งเคยเป็นจุดต่ำเดิมถึง 2 ครั้ง โดยครั้งแรกตอนเดือน ส.ค. 2021 และครั้งที่ 2 เดือน ก.ค. 2022 มองบริเวณนี้มีโอกาสรีบาวด์สูงมาก เพราะระดับนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ Foreign Fund Flows ไหลเข้ารอบใหญ่รอบนี้ และในช่วงครึ่งเดือนหลัง หากมีความชัดเจนของ Dot Plot ใหม่ในการประชุม FED 21-22 มี.ค. และข่าวนายกฯ ยุบสภา น่าจะช่วยปลุกตลาดฟื้นตัวได้ ประกอบกับเครื่องชี้ทางเทคนิคอยู่ในภาวะ “Oversold” มาก ๆ เทียบกับเท่าช่วงเกิดการระบาด COVID-19 อุบัติขึ้นในเดือน มี.ค. 2020
บล.ทิสโก้ มองกรอบการรีบาวด์จะมีแนวต้านระหว่างทางที่โซน 1575, 1585 ตามลำดับ ขณะที่แนวรับจะอยู่ที่ 1535-40, 1520+/-
ท่ามกลางความไม่แน่นอนของตลาดที่เพิ่มขึ้นจากปัญหาภาคธนาคารทั้งในสหรัฐฯ และยุโรป, ทิศทางดอกเบี้ยของ FED ที่ไม่ชัดเจน และความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย แนะนำนักลงทุนเพิ่มการถือครองเงินสดบางส่วน ขณะที่หุ้นเชิงรับอิงเศรษฐกิจในประเทศและหุ้นปันผลสูงน่าจะเคลื่อนไหวได้ดีกว่าตลาด (Outperform) แนะนำ ADVANC, BDMS, BEM, BTS, EGCO หุ้นปันผลที่ให้ Div. Yield มากกว่า 4% รอขึ้น XD ในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า เด่น AP, BAM, NYT, SCB, ICHI, TFG สำหรับพอร์ตการลงทุน แนะนำทยอยสะสมหุ้นบลูชิพ AOT, BBL, CPALL, MINT
สำหรับการเก็งกำไร-เทรดดิ้งระยะสั้น เหมาะสำหรับผู้ที่ได้รับความเสี่ยงได้สูง และต้องเคร่งครัดวินัยการลงทุน แนะนำทำแบบจำกัดวงเงิน เน้นการตั้งรับในช่วงตลาดผันผวน ธีมหุ้นน่าสนใจในระยะสั้น