การปรับหลักเกณฑ์การซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือ "ระบบเทรดใหม่" ถือเป็นรูปแบบใหม่ที่เริ่มนำมาใช้ในวันนี้เป็นวันแรก (8 พ.ค. 66) ซึ่งรูปแบบใหม่ช่วยให้คำสั่ง ซื้อ-ขาย "หุ้น" เร็วขึ้นถึง 5 เท่า รองรับธุรกรรมที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต ซ้ำยังตรวจจับพฤติกรรมการ "ซื้อ-ขายที่ผิดปกติ" ได้เร็วขึ้นอีกด้วย
ขณะที่การเพิ่มคำสั่งใหม่ในการ "ซื้อ-ขาย" ช่วยทำให้นักลงทุนมีเครื่องมือในการลงทุนที่ดีขึ้น เห็นข้อมูล และทิศทางราคาได้ชัดเจนกว่าก่อนหน้านี้
สำหรับระบบการซื้อ-ขาย รูปแบบใหม่ (ระบบเทรดใหม่)
นอกจากการปรับการ ซื้อ-ขาย เป็น ระบบเทรดใหม่ แล้วทาง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยยังได้ ปรับปรุงเกณฑ์ ซื้อ-ขาย ให้สอดคล้องกับระบบการซื้อ-ขายใหม่อีกด้วย
ปรับเกณฑ์ซื้อ-ขายให้สอดคล้องกับระบบการซื้อ-ขายใหม่ของ SET ประกอบด้วย
1. ปรับการคำนวณราคาเปิด-ราคาปิด
2. ปรับ Ceiling & Floor ของหลักทรัพย์ -F ให้มี Ceiling & Floor +/-60% ของราคาอ้างอิงในทุกวิธีการซื้อขาย (เดิมกำหนด C&F +/-30% ของราคาอ้างอิง สำหรับการซื้อขายรายใหญ่หุ้น -F
3. ยกเลิกการซื้อขายหน่วยย่อย (Old Lot) ของ DW
4. ปรับประเภทคำสั่งซื้อขาย โดยเพิ่มคำสั่ง Good Till Cancel (GTC) และ Good Till Date (GTD), ปรับปรุง Iceberg Order
5. เพิ่มเครื่องหมายห้ามการซื้อขาย P (Pause) โดยจะใช้กับหลักทรัพย์ที่ SET กำหนดให้เข้ามาตรการกำกับการซื้อขายระดับ 3 เพื่อให้เกิดความชัดเจนแก่ผู้ลงทุน สำหรับเครื่องหมาย P จะมาจากสาเหตุของพฤติกรรมการซื้อ-ขายหุ้นที่มีความผิดปกติ ซึ่งหุ้นที่ถูกขึ้น P จะถูกหยุดการซื้อ-ขายเป็นระยะเวลา 1 วัน
6. ปรับการแสดง Bid/Offer เป็น 10 ระดับราคา (ขึ้นอยู่กับการแสดงหน้าจอของแต่ละ Broker ด้วย) ข้อนี้ไม่กระทบเกณฑ์ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นประโยชน์กับผู้ลงทุน
อ่านข้อมูลเพิ่มเติม "ระบบเทรดใหม่" : คลิกที่นี่
ด้านนายประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า การปรับใช้ระบบซื้อ-ขายใหม่ (ระบบเทรดใหม่) ที่เริ่มวันนี้เป็นวันแรก (8 พ.ค. 66) ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี
ขณะที่การปรับการแสดง Bid/Offer เป็น 10 ระดับราคา ถือเป็นประโยชน์กับผู้ลงทุน เนื่องจากช่วยให้นักลงทุน เห็นการเคลื่อนไหวของราคาที่ชัดเจนมากขึ้น
ส่วนการปรับประเภทคำสั่งซื้อขาย เช่น เพิ่มคำสั่ง Good Till Cancel (GTC) และ Good Till Date (GTD), ปรับปรุง Iceberg Order ถือเป็นการปรับคำสั่ง ในการซื้อขายทำให้นักลงทุนมีเครื่องมือที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ปรับการคำนวณ "ราคาเปิด-ราคาปิด" ที่ปรับรูปแบบ เชื่อว่าจะช่วยเพิ่มความสมเหตุสมผล และทำให้การสร้างราคาหรือการปั่นราคาเป็นไปได้ยาก
อย่างไรก็ตามมองว่าการปรับรูปแบบใหม่นั้น คงไม่มีผลกระทบต่อนักลงทุนรายย่อย รวมทั้งการปรับรูปแบบใหม่เชื่อว่าจะดีกว่ารูปแบบเก่าอย่างแน่นอน
เนื่องจากทาง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้มีการสำรวจ และทดสอบระบบมาก่อนแล้ว ทำให้เชื่อว่าการใช้รูปแบบใหม่จะช่วยยกระดับ และเพิ่มประสิทธิภาพของตลาดหุ้นไทยในระยะข้างหน้า