"MOU 23 ข้อ" พรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งหนึ่งในนโยบายที่สำคัญ ก็คือ การร่วมฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยยึดหลักเพิ่มรายได้ประชาชน ลดความเหสื่อมล้ำ และสร้างระบบเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างเป็นธรรม โดยนโยบายดังกล่าวก็สอดคล้องกับนโยบายของพรรคก้าวไกล ที่มีใจความสำคัญว่า จะขึ้นค่าแรง 450 บาททันที ในปี 2566
ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซียพลัส (ASPS ) จึงนำเสนอผลกระทบในแต่ละอุตสาหกรรม หากต้องปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทันที 450 บาท ดังนี้
อุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้าง : เป็นอุตสาหกรรมที่มีการใช้แรงงานจำนวนมาก โดยต้นทุนค่าแรงที่อิงกับค่าแรงขั้นต่ำ จะอยู่ในส่วนของคนงานก่อสร้างที่มีทั้งการจ้างโดยตรงและการจ้างผ่านผู้รับเหมาช่วง ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 20-30% ของต้นทุนก่อสร้าง โดยเงินที่จ้างผ่านผู้รับเหมาช่วงจะมีการรวมทั้งค่าแรงงานและค่าวัสดุก่อสร้างเข้าไปด้วย หากตั้งสมมุติฐานว่า ค่าแรงอย่างเดียวคิดเป็นสัดส่วน 50% ของค่าจ้างเหมาช่วง เท่ากับว่าต้นทุนที่อิงกับค่าแรงขั้นต่ำน่าจะมีสัดส่วนประมาณ 10-15% ของต้นทุนก่อสร้าง ดังนั้นการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทุก 1% จะกระทบต่อต้นทุนการก่อสร้าง 0.10-0.15%
แต่ในทางปฏิบัติหากมีการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำจริง บริษัทรับเหมาก่อสร้างและบริษัทที่รับเหมาช่วงจะแบ่งกันรับภาระค่าแรงที่เพิ่มขึ้นไปคนละส่วน อีกทั้งบริษัทรับเหมางานภาครัฐจะมีเงินชดเชยจากค่า K ซึ่งมีเงินเฟ้อเป็นองค์ประกอบในการคำนวณด้วย ดังนั้นผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทุก 1% ฝ่ายวิจัยประเมินว่าจะกระทบต่อต้นทุนการก่อสร้างไม่เกิน 0.1% อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างเป็นอุตสาหกรรมที่มีอัตรากำไรสุทธิต่ำมากเพียง 2-3% เท่านั้น การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยของต้นทุนก่อสร้างจึงกระทบต่อกำไรของกลุ่มฯค่อนข้างมีนัยสำคัญ
อุตสาหกรรมนิคม : ฝ่ายวิจัยประเมินว่าผลกระทบของการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ จะมีผลกระทบต่อยอดขายที่ดินนิคมฯ ในวงจำกัด เนื่องจากช่วงปี 2553 – 2555 ที่มีการปรับขึ้นค่าแรงจาก 215 บาท/วัน เป็น 300 บาท/วัน (+40%YoY) ยอดขายยอดขายที่ดินนิคมฯ ไม่ได้ลดลง อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาดังกล่าว มีการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลลลงมาเป็นการชดเชยด้วย ในรอบนี้จึงต้องรอติดตามว่าจะมีแนวทางใดเข้ามาดึงดูดความน่าสนใจในการเข้ามาลงทุนเป็นการชดเชย แม้ค่าแรงจะปรับเพิ่ม แต่ประเทศไทยยังมีจุดเด่นที่เหนือกว่าประเทศอื่นๆ ในกลุ่มอาเซียน เช่น โครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมและกรรมสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของที่ดิน เป็นต้น
อุตสาหกรรมพัฒนาที่อยู่อาศัย : แนวโน้มการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในระดับสูงของรัฐบาลชุดใหม่ ภายใต้การนำของพรรคก้าวไกลที่จะปรับขึ้นเป็น 450 บาท/วัน ย่อมส่งผลเชิงลบต่อต้นทุนการพัฒนาโครงการของผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยทุกราย โดยหากพิจารณาโครงสร้างต้นทุนสัดส่วนหลัก 30-40% มาจากต้นทุนที่ดิน ตามด้วยต้นทุนก่อสร้างและแรงงาน 40-50% ที่เหลือเป็นงานโครงสร้างและอื่น ๆ ภายใต้การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำและปัจจัยอื่นไม่มีการเปลี่ยนแปลง หากอิงจากข้อมูลของผู้ประกอบการบางรายประเมินต้นทุนการพัฒนาจะเพิ่มขึ้น 10% ย่อมกระทบต่อประสิทธิภาพทำกำไร แต่เชื่อว่าผู้ประกอบการจะสามารถจัดการกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้ ผ่านการส่งผ่านไปยังราคาขายตามต้นทุนใหม่ ซึ่งหมายถึงราคาขายอาจต้องปรับขึ้น 5-10% เพื่อรักษามาร์จิ้นไว้ รวมถึงบริหารจัดการต้นทุนอื่น เช่น ใช้ประโยชน์จากระบบ Precast ในการก่อสร้างมากขึ้นเพื่อลดแรงงานคน, ปรับรูปแบบสินค้า เปลี่ยนวัสดุ ลดขนาดบ้าน ฯลฯ เพื่อไม่ให้กระทบต่อมาร์จิ้นอย่างมีนัยฯ
ทั้งนี้จากการศึกษาข้อมูลเรื่องประสิทธิภาพทำกำไรตลอดช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2551-2565) พบว่า ผู้ประกอบการยังสามารถรักษา Gross Margin ในกรอบ 33-35% และ Norm Profit กรอบ 13-15% แม้เผชิญกับวัฏจักรเรื่องต้นทุนก่อสร้างและแรงงานที่ปรับขึ้นก็ตาม (ยกเว้นปี 2563 ที่ได้รับผลกระทบจากโควิดและส่วนใหญ่เน้นขาย สต๊อกพร้อมลดราคา ทำให้ GP ปีดังกล่าวลงมาอยู่ที่ 31% และNorm Profit อยู่ที่ 12.5% ก่อนเห็นการฟื้นตัวขึ้นในปีถัดไป)
อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและสนามบิน : กลุ่มที่มีโครงสร้างรายได้จากไทยเป็นหลัก อย่างERW, CENTEL มีสัดส่วนค่าแรงราว 25%-30% ของ OPEX โดยภายใต้ Sensitivity Analysis พบว่าทุก 30% ที่เพิ่มขึ้นของค่าแรงขั้นต่ำ จะกระทบต่อประมาณการกำไรปกติราว 6% - 7% (สุทธิจากอัตราภาษี 20%) อย่างไรก็ดีประเด็นค่าแรงขั้นต่ำต่อกลุ่มโรงแรมยังต้องติดตาม เพราะธุรกิจโรงแรมมี Service chart สูง ซึ่งหลังรวม Service chart น่าจะสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำ ขณะที่ MINT ด้วยโครงสร้างรายได้ที่มาจาก EU ราว 50% ของรายได้รวม จึงประเมินได้รับผลกระทบจากกรณีค่าแรง ต่ำสุดเมื่อเทียบกับกลุ่มฯ ส่วน AOT ช่วง1H66 (ต.ค. 65 – มี.ค. 66) มีสัดส่วนค่าใช้จ่ายพนักงาน 32% ของ OPEX แต่ส่วนใหญ่ฐานเงินเดือนไม่ได้อิงกับค่าแรงขั้นต่ำต่อวัน มีเล็กน้อยที่อิงกับค่าแรงขั้นต่ำในกลุ่มสัญญาจ้าง Outsource จึงคาดว่ากระทบน้อยกว่า 2 บริษัทข้างต้น
โดยกลยุทธ์การลงทุนหุ้น Reopening ใน SET50 เรียงดังนี้
อุตสาหกรรมพลังงานและปิโตรเคมี : ภาพรวมธุรกิจในอุตสาหกรรมพลังงานไม่ได้อิงกับการใช้แรงงาน โดยโครงสร้างต้นทุนส่วนใหญ่จะอิงกับราคาพลังงาน, ค่าเสื่อมราคา เป็นหลัก ในขณะที่ค่าใช้จ่ายพนักงาน (SG&A) ส่วนใหญ่จะเป็นการจ่ายในรูปแบบของเงินเดือน, โบนัส ดังนั้นการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจึงไม่ได้ส่งผลผลกระทบโดยตรงอย่างมีนัยฯ ต่อโครงสร้างต้นทุน หรือผลการดำเนินงานบริษัทในกลุ่มนี้
อุตสาหกรรมค้าปลีก : คาดได้รับผลกระทบจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 450 บาท/วัน อยู่บ้าง ทั้งนี้หากพิจารณาเฉพาะหุ้นกลุ่มพาณิชย์ที่เราศึกษา ส่วนใหญ่จะได้รับผลกระทบไม่มากนัก เพราะพนักงานที่ได้รับค่าแรงขั้นต่ำมีสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนพนักงานทั้งหมด(ราว 10% -20%) ดังนั้นค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นค่าแรงจะมีสัดส่วนต่ำกว่า 0.5% ของยอดขายของแต่ละราย แต่คาดหมายยอดขายที่จะเพิ่มขึ้นได้ในระยะถัดไปได้ จากกำลังซื้อที่มีเพิ่มขึ้น นอกจากนี้คาดค่าแรงที่สูงขึ้นจะชดเชยได้บางส่วนจากค่าใช้จ่ายอื่นๆที่มีแนวโน้มลดลงในช่วง 2H66 โดยเฉพาะค่าสาธารณูปโภค ที่มีจะประหยัดได้ จากค่าไฟฟ้าที่ลดลง ตามค่า FT ที่เริ่มลดลงแล้วตั้งแต่งวด เม.ย.66 - ก.ค.66 และยังมีแนวโน้มลดลงได้ต่อไปอีกในงวด ส.ค. 66 – พ.ย. 66 ด้านธุรกิจร้านอาหาร อย่าง M ค่าใช้จ่ายพนักงานคิดเป็นสัดส่วนราว 50% ของ SG&A บน Sensitivity Analysis ทุก 30% ที่เพิ่มขึ้นของค่าแรงขั้นต่ำ จะกระทบต่อประมาณการกำไรปกติ M ราว 12% (สุทธิจากอัตราภาษี 20%)
อุตสาหกรรมสื่อสาร : หากมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 450 บาท/วัน ผลต่อการดำเนินงานของหุ้นในกลุ่ม ICT มีน้อยมาก เพราะพนักงานส่วนใหญ่จะได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังเป็นอุตสาหกรรมที่มีการใช้งาน AI ช่วยในการดำเนินงานแทนพนักงานด้วย (เช่นงาน Call center ของบริษัทที่ให้บริการโทรศัพท์มือถือ)
สรุปประเด็นการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 450บาท/วัน หากเกิดขึ้นจริง คาดผลกระทบในแต่ะละอุตสาหกรรมแตกต่างกันออกไป แต่อยู่ในวงจำกัด(ไม่มีนัยฯมากนัก)ดังนั้นหากราคาหุ้นตอบสนองต่อประเด็นนี้มากเกินไป ถือเป็นโอกาสในการสะสมหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง