“บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด” (ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์) จัดงานสัมมนาเอ็กซ์คลูซีฟ “มุมมองเศรษฐกิจโลกครึ่งปีหลัง 2566” สำหรับลูกค้าที่มีความมั่งคั่งระดับสูง (Ultra High Net Worth Individuals – UHNWIs) นำเสนอปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง
นางสาวลลิตภัทร ธรณวิกรัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด กล่าวว่า ตามที่เคยให้มุมมองไว้ในตอนต้นปี แม้ตัวเลขเงินเฟ้อนั้นอาจจะยังลดลงน้อยกว่าที่คาด จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงมีแรงส่งหรือขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ยังคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อและการเติบโตทางเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงไปจนถึงปี 2567 ถึงแม้ว่าการคาดการณ์นี้อาจจะยังไกล แต่สิ่งที่ยังคงเห็นในอนาคตอันใกล้นี้ เรายังเห็นความแตกต่างหรือ Divergence ของเศรษฐกิจโลกนั้นยังคงอยู่
กล่าวคือเศรษฐกิจสหรัฐฯ นั้นคาดว่าจะมีการชะลอตัวลงมากกว่าประเทศอื่นๆ หลังจากที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมา ในขณะเดียวกันเศรษฐกิจจีนเริ่มกลับมาเติบโตภายหลังการเปิดประเทศ ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปมีโอกาสฟื้นตัวเนื่องจากได้อานิสงส์จากอุปสงค์จากจีน กล่าวโดยสรุป การบริโภคที่มีสัดส่วน 2 ใน 3 ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ความยืดหยุ่นหรือ Resilient ของผู้บริโภคประกอบกับความแข็งแรงของฐานะทางการเงินของภาคเอกชนและตลาดแรงงานที่ยังแข็งแกร่งทั้งหมดนี้จะช่วยพยุงให้เศรษฐกิจแค่ชะลอตัวลงแบบอ่อนๆ (mildly) ไม่หดตัวแรง”
มร.คีน ตัน หัวหน้าฝ่ายแนะนำการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด กล่าวว่า “ด้านการลงทุน แนะนำให้ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพและล็อคอัตราผลตอบแทนที่อยู่ในระดับที่สูงในตราสารหนี้คุณภาพดี ลดคำแนะนำการลงทุนในกลุ่มตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนสูงหรือ High yield bond ลงทั้งในสหรัฐฯ และยุโรปจากความกังวลจากการคาดการณ์อัตราการผิดนัดชำระหนี้จะเพิ่มขึ้น และเพิ่มการลงทุนในตราสารหนี้ในตลาดเกิดใหม่
ขณะที่การลงทุนในตลาดหุ้นแนะนำให้น้ำหนักกับกลุ่ม Defensive หรือกลุ่มที่มีความปลอดภัย และยังคงให้ความสำคัญกับกลุ่ม Quality growth หรือกลุ่มที่มีการเติบโตอย่างมีคุณภาพ โดยได้ปรับมุมมองการลงทุนให้น้ำหนักเพิ่มในกลุ่มสื่อสาร ด้านการลงทุนในตลาดเอเชีย พบว่าประเทศจีนโมเมนตั้มทางเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวทำให้เราได้เห็นการเริ่มกลับมากระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้งแต่อาจจะยังไม่เพียงพอทำให้คำแนะนำการลงทุนยังเป็นกลาง (Neutral) เราแนะนำหุ้นรัฐวิสาหกิจจีน (SOE) ที่จะมีการปฏิรูปโครงสร้าง (Reform) เพื่อให้เกิดความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น
“ในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยน คาดว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯจะอ่อนค่าลงเมื่อหยุดการขึ้นดอกเบี้ย โดยค่าเงินสวิสฟรังค์ CHF มีโอกาสแข็งค่าเนื่องจากความเป็น Safe Haven ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ค่าเงินเยน JPY มีโอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่นในช่วงข้างหน้า สำหรับธีม Next Generation เราเชื่อว่ากระแสการแข่งขันพัฒนาด้าน Artificial Intelligence (AI) ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น เรายังคงมุมมองเชิงบวกในกลุ่มผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ (Software) ที่มีฐานหรือแหล่งข้อมูลของตัวเอง, สายการผลิตเซมิคอนดักเตอร์และผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานระบบประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลคลาวด์ (Cloud Infrastructure Providers) แม้ว่าหุ้นกลุ่ม AI เหล่านี้จะมีการปรับตัวขึ้นอย่างมากแต่ระดับมูลค่าในอดีตนั้นมีระดับที่ต่ำกว่าแนวโน้มแต่ยังคงมีคุณลักษณะที่น่าสนใจซึ่งจะยังช่วยให้มีโอกาสเติบโตได้” มร.คีน ตัน กล่าวเสริม