SINGER ฉุดผลงาน JMART ฟื้นตัวยากครึ่งหลังปี 66 โบรกแนะเลี่ยง

16 ส.ค. 2566 | 06:46 น.
อัปเดตล่าสุด :16 ส.ค. 2566 | 06:46 น.

โบรกแนะเลี่ยงหุ้นกลุ่ม JMART หลัง SINGER ยังเป็นตัวฉุดผลงาน แม้ “อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMART ออกมาย้ำว่าครึ่งปีหลัง 66 จะกลับฟื้นตัวหลังผ่านจุดต่ำสุด

หลังจากทาง บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JMART ได้ออกมาประกาศผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2 ของปี 2566 ขาดทุนสุทธิกว่า 611.2 ล้านบาท จากไตรมาสเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 389.4 ล้านบาท 

โดยมีสาเหตุหลักๆ จากผลการขาดทุนใน บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER ที่ได้รับผลกระทบจากการตั้งสำรองลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด ส่งผลให้งวดครึ่งแรกปี 2566 JMART พลิกขาดทุนสุทธิ 906 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 714.5 ล้านบาท

แม้ทางด้าน นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMART จะได้ออกมาให้ความมั่นใจ ว่า ไตรมาส 2 ของปี2566 คือ จุดต่ำสุดของปี 2566 และคาดว่าผลงานจะกลับมาฟื้นตัวในครึ่งหลังของปีนี้ 

โดยยังคงมีปัจจัยบวกต่อผลการดำเนินงาน เช่น การเติบโตของธุรกิจติดตามหนี้ด้อยคุณภาพ ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัทเจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิส เซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ซึ่งเพิ่งได้พอร์ตสินเชื่อหนี้ด้อยคุณภาพแบบไม่มีหลักประกันขนาดใหญ่เข้ามาในไตรมาส 2/2566 

ทำให้ JMT มีกำไรไตรมาส 2/2566 อยู่ที่ 551 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.2% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน มีกำไรสุทธิ 433.3 ล้านบาท รับยอดจัดเก็บหนี้ที่เพิ่มขึ้น และมีกำไรจากการซื้อลูกหนี้เก็บเข้าพอร์ต สนับสนุนให้งวดครึ่งปีแรก มีกำไรสุทธิ 1,004 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 800.3 ล้านบาท

นักวิเคราะห์ แนะเลี่ยงหุ้นกลุ่ม JMART หากไม่กล้าเสี่ยง

ด้านนายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า ระบุว่า การที่ราคาหุ้นกลุ่มเจมาร์ท ปรับขึ้นสวนทางหลังจากงบไตรมาส 2 ปี 2566 ที่ออกมาต่ำกว่าตลาดคาดการณ์ คาดว่าน่าจะเป็นแรงซื้อทางเทคนิคกลับเข้ามา หลังราคาหุ้นปรับตัวลงลึกไปแล้วก่อนหน้านี้ และงบไตรมาส 2 ปี 2566 ที่ประกาศออกมาไม่ดีตามคาด

ส่วนแนวโน้มผลดำเนินงานครึ่งปีหลังของกลุ่มเจมาร์ท คาดว่ามีเฉพาะ JMT ซึ่งเป็นธุรกิจบริหารหนี้ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดี เพราะคาดว่าธนาคารพาณิชย์จะนำหนี้มาขายเพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลัง 2566 ทำให้ประเมินว่า JMT จะซื้อหนี้เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง 2566 รวมทั้งการเข้าซื้อธุรกิจ "สุกี้ตี๋น้อย" ยังเป็นโอกาสสร้างการเติบโตหลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดได้

นักวิเคราะห์ บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุว่า แนวโน้มข้างหน้าดูเหมือนจะไม่ดีขึ้นและไม่คาดหวังว่าการดำเนินงานของ JMART จะดีขึ้นอย่างรวดเร็วในครึ่งหลังปี 2566 รวมทั้งการดำเนินงานของ SINGER คาดว่าจะใช้เวลานานกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ในการกลับมามีกำไร หลังจาก JMART รายงานผลขาดทุนสุทธิอย่างหนักที่ 611 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2566 ซึ่งต่ำกว่าที่คาดไว้ว่าจะมีกำไรสุทธิที่ 100 ล้านบาท 

โดยส่วนใหญ่เป็นการขาดทุนอย่างหนักจาก SINGER ที่ระดับ 618 ล้านบาท (เทียบกับที่คาดไว้ว่าจะขาดทุน 140 ล้านบาท) และการสูญเสียการวัดมูลค่ายุติธรรมที่สูงขึ้นของ บริษัท บางกอก เดคคอน จำกัด(มหาชน) หรือ BKD และบริษัท ซุปเปอร์ เทอร์เทิล จำกัด (มหาชน) หรือ TURTLE

รวมทั้งผลจากการบันทึกตามราคาตลาด (MTM) ของการลงทุนใน บริษัท น้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BRR และ บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC ฉุดผลการดำเนินงานของ JMART ขาดทุนสุทธิ 906 ล้านบาท ในครึ่งแรกปี 2666 ดังนั้น ปัจจุบันจึงอยู่ระหว่างทบทวนประมาณการกำไร ราคาเป้าหมาย และคำแนะนำ

สอดคล้องกับทาง บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ที่ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ผลการดำเนินงานของ SINGER ในไตรมาส 3/2566 ที่จะยังรับรู้ขาดทุนตามการตั้งสำรองด้อยค่าสินค้า และ credit cost ที่จะยังสูง ตามการตัดจำหน่ายหนี้สูญ และ NPL ที่ยังไม่ดีขึ้น รวมทั้งสินเชื่อที่จะขยายตัวต่ำ ตามความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น

โดยปรับขาดทุนสุทธิปี 2566 เพิ่มเป็น 4,200 ล้านบาท (เดิม 1,600 ล้านบาท) จากการปรับเพิ่มค่าใช้จ่ายสำรองด้อยค่าสินค้า และ credit cost ขึ้น เพื่อรองรับ NPL ที่สูง และกันสำรองบางส่วน 

โดยยังคงแนะนำ "ขาย" พร้อมให้ราคาเป้าหมาย 6 บาท จากผลการดำเนินงานของ SINGER ที่จะยังไม่กลับมาดีขึ้นในเร็ววัน และต้องอาศัยระยะเวลา 2-3 ปี เพื่อรักษาให้ NPL ดีขึ้น

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ระบุว่า ผลดำเนินงานของบริษัทกลุ่มตระกูลเจ (กลุ่มเจมาร์ท) มีโอกาสถึงจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 2 ปี2566 หลังมีการตั้งสำรอง (Expected credit loss,:ECL) 1,000 ล้านบาท ของลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิดจาก SINGER 

ทั้งนี้มุมมองในหุ้นกลุ่มเจมาร์ทเป็นไปอย่างระมัดระวังจาก3 ปัจจัยเนื่องจาก 1. การเคลียร์Inventory ของ SINGER ยังคงเหลืออยู่ราว 838 ล้านบาท, 2.กำไรของกลุ่มJMARTยังคงพึ่งพิง JMT ในระดับสูงพอสมควร และ 3.ราคาหุ้นขึ้นมาแรงพอสมควรจากการให้guidanceของบริษัท

ดังนั้นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำแนะนำให้หลีกเลี่ยง แต่หากรับความเสี่ยงได้สูงรอจังหวะย่อและซื้อสะสม (ถือ3-6เดือน) โดยมีจุดตัดสินคืองบไตรมาส 3 ปี 2566 ว่าจะกลับมาได้หรือไม่

ส่วนการเข้าซื้อ "สุกี้ตี๋น้อย" ของ JMART สัดส่วน 30%  มูลค่า 1,200 ล้านบาท ถือว่าเหมาะสมในมุมมองของตลาดเพราะว่ายังมีโอกาสในการเติบโตในสาขาต่างจังหวัด 

เนื่องจากสินค้าจับตลาดผู้บริโภคระดับ mass market และลูกค้า (traffic) รวมกว่า 20,000 รายต่อวัน โดยที่ราคาซื้อคิดเป็นเพียง Trailing PER 26-27 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มค้าปลีก(ร้านอาหาร) 25-30 เท่า