จากกรณีที่วานนี้ (16 ส.ค.66 ) ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเป็นเอกฉันท์ไม่รับคำร้องผู้ตรวจการแผ่นดิน กรณีรัฐสภาใช้ข้อบังคับการประชุมที่ 41 กับการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ทำให้แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคก้าวไกล ไม่สามารถถูกเสนอชื่อโหวตซ้ำอีกในสมัยประชุมเดียวกัน เนื่องจากศาลเห็นว่าผู้
ร้องไม่ได้ถูกละเมิดสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ม.213 ขณะที่นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา จะนัดหารือวิป 3 ฝ่าย ในวันที่ 18 ส.ค. 66 เพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับวันประชุมเพื่อโหวตนายกฯ รอบที่ 3 โดยเบื้องต้นคาดวันโหวตนายกฯ คือ 22 ส.ค.66
ส่วนกรณีที่ สว.บางคนแสดงความเห็นว่านายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ควรที่จะต้องมาแสดงวิสัยทัศน์ต่อรัฐสภานั้น ประธานรัฐสภา กล่าวว่า ในข้อบังคับไม่ได้กำหนดไว้ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกฯ จะต้องแสดงวิสัยทัศน์ ซึ่งในการเลือกนายกฯ เมื่อปี 2562 ผู้ถูกเสนอชื่อซึ่งไม่ได้เป็น สส.ทั้ง 2 คน ก็ไม่ได้มาแสดงวิสัยทัศน์ต่อที่ประชุมรัฐสภา
ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส มองว่าหากการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เดินหน้าไปอย่างอย่างราบรื่น ก็จะช่วยลดความกังวลเรื่องสุญญากาศทางการเมืองและงบประมาณประจำปี 2567 ไปได้ระดับหนึ่ง และน่าจะทำให้ SET Index ตอบสนองเชิงบวกได้ ส่วนประเด็นการเก็งกำไร ก็อาจเกิดขึ้นกับหุ้นที่น่าจะได้ประโยชน์จากแนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายของพรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาลใหม่
(นโยบายหลักๆของพรรคร่วมรัฐบาล อาทิ เติมเงินกระเป๋าดิจิทัล 10,000 บาท, ค่าแรง 600 บาท / เงินเดือน ป.ตรี 25,000 บาท,รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย, เปิดศูนย์ฟอกไตเทียมทุกอำเภอ, พักหนี้ 3 ปี หยุดต้น-หยุดดอก,บัตรประชารัฐ, บัตรสวัสดิการพลัส, คนละครึ่งภาค 2 เป็นต้น )
โดยแนะนำหุ้นเด่นที่เคยร่วงแรงจากความกังวลเปลี่ยนผ่านทางการเมือง ก่อนหน้านี้ที่มีโอกาสดีดตัวขึ้นมาได้ แนะนำหุ้นเด่น 5 กลุ่ม คือ
และจากรายชื่อหุ้นดังกล่าว ฝ่ายวิจัยฯ นำมาพิจารณาเพิ่มเติม ในมุมระดับความสูงต่ำของราคาในรอบ 1 ปี และผลตอบแทนตั้งแต่ช่วงหลังจากวันเลือกตั้งปี 66 ถึงปัจจุบัน เพื่อค้นหาหุ้นการเมืองเด่น ที่ราคายัง Laggard ตลาดตั้งแต่วันเลือกตั้ง (15 พ.ค. - ปัจจุบัน ) และน่าซื้อสะสม ได้ผลลัพธ์ดังนี้