ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,474.83 จุด ลดลง 290.91 จุด หรือ -0.84%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,370.36 จุด ลดลง 33.97 จุด หรือ -0.77% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,316.93 จุด ลดลง 157.70 จุด หรือ -1.17%
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับ 4.31% เมื่อคืนนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 15 ปีหรือนับตั้งแต่ปี 2551 หลังจากเฟดเปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 25-26 ก.ค.ซึ่งระบุว่า เฟดมีความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่ยังคงสูงกว่าเป้าหมายที่ระดับ 2% ซึ่งทำให้เฟดจำเป็นต้องใช้นโยบายคุมเข้มทางการเงินต่อไป
ทั้งนี้ การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปีซึ่งใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาของตราสารหนี้ทั่วโลกรวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองของสหรัฐด้วยนั้น จะทำให้ผู้บริโภคมีเงินสำหรับการใช้จ่ายลดน้อยลง และจะทำให้บริษัทต่าง ๆ เผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการชำระหนี้ ซึ่งท้ายที่สุดจะทำให้บริษัทเหล่านี้ลดการลงทุน และลดการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน
แบร์รี แบนนิสเตอร์ นักวิเคราะห์จากบริษัท Stifel กล่าวว่า นอกเหนือจากรายงานการประชุมเฟดแล้ว การปรับตัวลงของจำนวนผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานของสหรัฐในสัปดาห์ที่แล้วยังบ่งชี้ว่า ตลาดแรงงานสหรัฐยังคงอยู่ในภาวะตึงตัว และอาจทำให้เฟดคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงต่อไปอีกเป็นเวลานานขึ้น
ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 11,000 ราย สู่ระดับ 239,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 240,000 ราย
หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ร่วงลงอย่างหนัก นำโดยหุ้นซีวีเอส เฮลธ์ ดิ่งลง 8% หลังจากมีรายงานว่า บลู ชิลด์ ออฟ แคลิฟอร์เนีย (Blue Shield of California) ซึ่งเป็นองค์กรด้านสุขภาพที่ไม่แสวงผลกำไร วางแผนที่จะยกเลิกการเป็นพันธมิตรกับซีวีเอสในฐานะผู้จัดการผลประโยชน์ร้านขายยา (PBM) และจะหันไปร่วมงานกับบริษัทอื่น ๆ เช่นบริษัทอะเมซอน
ข่าวดังกล่าวยังได้ฉุดหุ้นยูไนเต็ดเฮลธ์ และหุ้นซินา ซึ่งเป็นบริษัทประกันสุขภาพ ร่วงลง 1.9% และ 6.4% ตามลำดับ
อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้น หลังจากราคาน้ำมัน WTI พุ่งขึ้นขานรับความหวังที่ว่ารัฐบาลจีนจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล และหุ้นเชฟรอน พุ่งขึ้น 1.9% และ 1.7% ตามลำดับ