ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,670.29 จุด เพิ่มขึ้น 39.15 จุด หรือ +0.12%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,327.78 จุด ลดลง 21.83 จุด หรือ -0.50% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,407.23 จุด ลดลง 166.99 จุด หรือ -1.23%
ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์บวก 0.79% หลังปรับตัวลง 2 สัปดาห์ติดต่อกัน และดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 0.458% ขณะที่ Nasdaq ลดลง 0.18%
ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 นั้น หุ้นกลุ่มพลังงานบวก 2.3% ตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น ขณะที่หุ้นกลุ่มปลอดภัย อาทิ กลุ่มสาธารณูปโภค เพิ่มขึ้น 1% และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค เพิ่มขึ้น 0.8%
ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวกเล็กน้อย ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดลดลงในวันศุกร์ หลังการเปิดเผยข้อมูลดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐที่ตกต่ำลง และนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่รุนแรงขึ้น ซึ่งบดบังปัจจัยบวกจากการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของธนาคารรายใหญ่ในสหรัฐ
ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลง หลังการเปิดเผยผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 63 ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. โดยลดลงจากระดับ 68.1 ในเดือนก.ย. และยังลดลงมากกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ซึ่งคาดว่าจะขยับลงแตะ 67.4
นอกจากนี้ ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 3.8% ในช่วง 1 ปีข้างหน้า จากระดับ 3.2% ในการสำรวจเดือนที่แล้ว ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อในช่วง 5 ปีข้างหน้าจะเพิ่มขึ้น 3% จากระดับ 2.8% ในการสำรวจเดือนที่แล้ว
แถลงการณ์ระบุว่า ประชากรเกือบทุกกลุ่มมีความเชื่อมั่นลดลง ซึ่งสะท้อนให้เห็นผลกระทบจากเงินเฟ้อที่ยังคงปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่อง
หุ้นกลุ่มธนาคารปิดบวก 0.6% หลังหุ้นธนาคารชั้นนำปรับตัวขึ้น เนื่องจากการเปิดเผยผลกำไรไตรมาส 3/2566 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ โดยได้แรงหนุนจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น โดยหุ้นเวลส์ ฟาร์โก พุ่ง 3% และหุ้นเจพี มอร์แกน บวก 1.5% แต่หุ้นซิตี้กรุ๊ปปิดลดลง 0.2%