ปัญหาหุ้นกู้ผิดนัดชำระหนี้ กรณีล่าสุดของบมจ.เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป (JKN) ที่แจ้งพักชำระหนี้หุ้นกู้ 7 รุ่น มูลหนี้รวม 3,212.15 ล้านบาท หลังบริษัทฯ ยื่นคำร้องเข้ากระบวนการฟื้นฟูกิจการ และศาลล้มละลายกลาง ฯ มีคำสั่งรับคำร้องแล้ว
หุ้นกู้ผิดนัดชำระหนี้ 7 บริษัทรวมกว่า 2.2 หมื่นล้าน
จากข้อมูลรายงานของสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย ( ThaiBMA ) ปัจจุบัน (22 พ.ย. 66) หุ้นกู้ที่ผิดนัดชำระหนี้ ( Default Payment ) มีทั้งสิ้น 7 บริษัท วงเงินรวม 22,065 ล้านบาท ได้แก่
สำหรับการระดมทุนออกหุ้นกู้ระยะยาวในรอบ 10 เดือนปี 2566 ( ม.ค.- ต.ค.2566 ) มีมูลค่า 885,213 ล้านบาท ลดลง 194,241 ล้านบาท หรือ -18% จากช่วงเดียวกันของปี 2565 ที่มีการออกหุ้นระยะยาว 1,079,454 ล้านบาท
หุ้นกู้ปี 67 ครบกำหนดกว่า 8.9 แสนล้าน
ข้อมูลเว็บไซต์ThaiBMA ระบุอีกว่าปี 2567 มีหุ้นกู้ระยะยาวที่ครบกำหนดทั้งสิ้น 890,908 ล้านบาท จำนวนนี้สัดส่วน 90% หรือประมาณ 791,322 ล้านบาท เป็นหุ้นกู้กลุ่ม Investment grade ( เรตติ้งระดับBBB - จนถึง AAA ) และเป็นหุ้นกู้บริษัทที่มีเรตติ้ง ตั้งแต่ A- ขึ้นไปถึง 86 บริษัท วงเงินรวม 688,232 ล้านบาท
ส่วนหุ้นกู้ที่เหลือ 10% กว่าวงเงิน 99,586 ล้านบาท เป็นกลุ่มไฮยีลด์บอนด์ (High yield) เรตติ้งระดับ BB+ ลงมาจนถึงนอนเรต จำนวนนี้เป็นนอนเรตบอนด์ 51,387 ล้านบาท
"ฐานเศรษฐกิจ" ได้รวบรวมข้อมูลจาก ThaiBMA เพิ่มเติม โดยคัดเฉพาะหุ้นกู้กลุ่ม"ไฮยีลด์บอนด์" ที่ครบกำหนดในปี 2567 มีดังนี้
ส่วนที่เหลืออื่น ๆ วงเงินหุ้นกู้ครบกำหนดปี 67 ไม่เกิน 1,000 ล้านบาท อาทิ หุ้นกู้ บมจ.ริชี่ เพลซ 2002 (RICHY) วงเงิน 888 ล้านบาท /เดือน ธ.ค.66 มีครบกำหนด 379 ล้านบาท และ บมจ.ชาญอิสสระ ดีเวลล็อปเมนท์ (CI) 500 ล้านบาท /เดือนธ.ค.66 ครบกำหนด 950 ล้านบาท
ทั้งนี้หุ้นกู้ในกลุ่มไฮบอนด์ยีลด์ที่จะครบกำหนดในปี 2567 ส่วนใหญ่ยังเป็น"กลุ่มอสังหาริมทรัพย์" โดยหุ้นกู้อสังหาริมทรัพย์ที่จะครบกำหนดปีหน้ามีทั้งสิ้น 158,000 ล้านบาท จำนวนนี้เป็นกลุ่มไฮบอนด์ยีลด์ราว 58,800 ล้านบาท หรือเป็นสัดส่วนเกือบ 60% ของหุ้นกู้ไฮยีลด์ทั้งระบบ
ตลาดหุ้นกู้ปี 67 "ทรงตัว/ลด" จาก 2 ปัจจัย
นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่ามูลค่าการออกหุ้นกู้รวมในรอบ 10 เดือนแม้จะลดลง แต่ทั้งปีคาดมูลค่าน่าจะอยู่ระดับ 1 ล้านล้านบาท แต่แนวโน้มปี 67 เมื่อมองจาก 2 ปัจจัยคือ 1.การปรับขึ้นของดอกเบี้ยเริ่มช้าและปีนี้อาจอยู่ตรงปลายของ"ขาขึ้น"แล้ว ดังนั้นความจำเป็นของธุรกิจในการระดมทุนออกหุ้นกู้เพื่อล็อกต้นทุนจึงไม่ได้เร่งมากเมื่อเทียบกับปี 65 ซึ่งเป็น all time high จากดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูง ขณะเดียวกันก็เพิ่มทางเลือกให้ผู้ลงทุนเลือกลงทุนในหุ้นกู้มากขึ้น 2. เทียบปัจจุบันผู้ลงทุนมีความระมัดระวังมากขึ้นในการตัดสินใจลงทุน selective และกระจายความเสี่ยงมากขึ้น จึงทำให้มีความเป็นได้ว่าทิศทางการออกหุ้นกู้ในปี 67 อาจจะทรงๆ หรือปรับลดลงกว่าปีนี้
ส่วนการออกหุ้น"ไฮบอนด์ยีลด์" มองว่าบริษัทผู้ออกต่อไปคงต้องทำงานมากขึ้น ทั้งการตระเตรียมให้ข้อมูล/การสื่อสารกับผู้ลงทุน การวิเคราะห์ เพื่อให้ได้ตามเป้าวัตถุประสงค์ของการระดมทุน ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นกับหุ้นกู้คงต้องวิเคราะห์เป็นเรื่อง ๆไป แต่มองว่าผู้ลงทุนมีความรอบคอบระมัดระวังมากขึ้นในการกระจายความเสี่ยง