MTS Gold ชี้ 5 ปัจจัย หนุนราคาทองขึ้นได้ถึง15%

10 ม.ค. 2567 | 06:17 น.
อัปเดตล่าสุด :10 ม.ค. 2567 | 07:01 น.

MTC Gold เปิด 5 ปัจจัยหนุนราคาทองคำปี 67 ชี้เทรนด์ราคาทองขาขึ้น โอกาสเพิ่มไม่น้อยกว่า 10% หรืออาจเหวี่ยงได้ถึง 15% เผยรอบปี 66 “คนมีเงินเย็น”หันซื้อทองคำแท่งเก็บเพิ่ม 3% สวนทางยอดขายทองรูปพรรณตก 20%

 เปิดศักราชปีมังกร 2 มกราคม 2567 ค่าเงินบาทอ่อนค่าที่ระดับ 34.34 บาทต่อดอลลาร์ จากระดับปิดสิ้นปีที่ 34.12 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่ราคาทองคำแท่งในประเทศ 96.5% ตามประกาศสมาคมค้าทองคำทองคำเปิดตลาดที่ 33,600 บาทต่อบาททองคำจากระดับ 33,650 บาทต่อบาททองคำเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2566

นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการฝ่ายบริหาร กลุ่มบริษัทในเครือเอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก (MTS) เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ทิศทางราคาทองคำปี 2567 จะเป็นทิศทางขาขึ้นจาก 5ปัจจัยบวกได้แก่

นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการฝ่ายบริหาร กลุ่มบริษัทในเครือเอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก (MTS)

  1. ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คงดอกเบี้ยช่วงไตรมาสแรกและจะเริ่มลดดอกเบี้ยตั้งแต่ไตรมาส 2 ซึ่งคาดว่า เฟดจะลดดอกเบี้ยไม่น้อยกว่า 3 ครั้งรวมเป็น 0.75% 
  2. การลดลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร(บอนด์ยีลด์)สหรัฐ ซึ่งเป็นผลพวงจากเฟดลดดอกเบี้ยลง
  3. ภาพรวมเศรษฐกิจของสหรัฐฯน่าจะอ่อนแอลง ทั้งจากภาวะเงินเฟ้อและผลจากการปรับขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งสกุลเงินดอลลาร์ น่าจะอ่อนค่าและเป็นผลบวกต่อราคาทองคำ
  4. ภาวะสงคราม โดยมีความเป็นไปได้ที่สงครามจะมีความรุนแรงเป็นครั้งคราวทำให้คนเข้าซื้อทองคำ
  5. ธนาคารกลางทั่วโลกต่างซื้อทองคำเพิ่มมากขึ้น

“ต้นปี 2567 แนวโน้มจะเป็นกระแสลงทุนในทองคำ โดยราคาทองคำน่าจะปรับขึ้นไม่น้อยกว่า 10% หรืออาจจะมีจังหวะเหวี่ยงได้ถึง 15% จากปี 2566 ขยับเพิ่ม 11% ซึ่งผลตอบแทนในทองคำจะมีความโดดเด่นมากกว่ามากลงทุนในตลาดหลักทรัพย์และบัญชีออมทรัพย์” นพ.กฤชรัตน์ กล่าว 

ทั้งนี้ส่วนตัวมองว่า ทองคำเป็นทั้งเครื่องประดับและเป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุน และการลงทุนในทองคำปัจจุบันสามารถลงทุนด้วยเงินหลักพันบาทไปจนถึงหลักล้านบาท ขณะเดียวกันผู้ประกอบธุรกิจทองคำยังพัฒนาสู่ออนไลน์ เป็นเหตุผลให้ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีวันตาย ทั้งการซื้อขายทองคำผ่านแอพพลิเคชั่นและการออมทองคำ เพื่อประโยชน์ระยะยาวของประชาชน

MTS Gold ชี้ 5 ปัจจัย  หนุนราคาทองขึ้นได้ถึง15%

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า ภาพรวมราคาทองคำที่สูงขึ้นและภาวะเศรษฐกิจไทยที่อ่อนแอลง ทำให้กำลังซื้อของประชาชนลดน้อยลง ทำให้ยอดค้าขายทองคำปรับลดลงมาในแต่ละปี เห็นได้จากราคาทองคำรูปพรรณที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ปี 2566 ที่ผ่านมา ยอดขายทองคำตกลง 10-20% แต่ปริมาณการซื้อขายทองคำแท่ง กลับมาทดแทนกำลังซื้อที่หายไปบางส่วน โดยนักลงทุนหรือผู้มีเงินเย็นหันมาซื้อทองคำแท่งเก็บมากขึ้น 

ดังนั้นแนวโน้มธุรกิจค้าทองคำยังเติบโตด้วยการพัฒนาการออม การลงทุนในทองคำแท่ง ประกอบกับราคาทองคำยังมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง ส่วนการซื้อขายทองคำแห่งที่ได้รับความนิยมมากขึ้นการเติบโต 2-3%เนื่องจากราคาแพงขึ้น ขณะที่การลงทุนในทองคำมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องประมาณ 10% 

สำหรับตัวแปรที่น่าจับตาในปี 2567 มีทั้งเรื่องราคาทองคำและสัญญาณการหลอกลวง (Fake) ในแง่ของราคาทองคำนั้น อาจทำให้นักลงทุนมีความสุ่มเสี่ยงจากราคาทองคำเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลง แม้นักลงทุนจะชอบบรรยากาศดังกล่าว หากราคาขึ้นหรือราคาลด ก็ยิ่งฮอตในแง่ซื้อ หากราคาทรงตลาดจะเงียบ ส่วน Fake ปัจจุบันมีการโกงหรือหลอกลวงทุกรูปแบบ โดยหลอกเสนอผลตอบแทนสูง จึงแนะนำให้มีการตรวจสอบก่อนเปิดบัญชี เพื่อป้องกันเงินของลูกค้า 

สำหรับราคาเป้าหมายในระยะถัดไปข้างหน้านั้น หากพิจารณาราคาทองคำตลาดโลก(Gold Spot) ปรับขึ้นมา 11% จาก 1,820 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เป็น 2,045 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ราคาทองคำในไทยยืนอยู่ที่ 33,500บาท โดยราคาเป้าหมายในปีหน้าประเมินราคาทองคำตลาดโลกน่าจะปรับขึ้นไม่น้อยว่า 10% หรืออาจจะมีจังหวะเหวี่ยงได้ถึง 15% โดยในรอบปีที่ผ่านมาราคาทองคำเหวี่ยง 4ครั้งๆละ 150-200 ดอลลาร์ซึ่งถือเป็นทั้งวิกฤติและโอกาสของการลงทุน

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,955 วันที่ 7 - 10 มกราคม พ.ศ. 2567