สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และดำเนินการตรวจสอบเพิ่มเติม กรณีพบพยานหลักฐานน่าเชื่อได้ว่ากลุ่มผู้กระทำความผิดจำนวน 13 ราย ได้แก่
ซึ่งพบว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างกันได้เข้ามาซื้อขายหุ้น FVC และมีพฤติกรรมการซื้อขายในลักษณะรู้เห็นหรือตกลงกัน โดยแบ่งหน้าที่กันส่งคำสั่งซื้อขายหุ้น FVC สอดรับและสนับสนุนซึ่งกันและกันอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ราคาและปริมาณการซื้อขายของหุ้น FVC ผิดไปจากสภาพปกติ ในช่วงระหว่างวันที่ 25 - 31 สิงหาคม 2558 (รวม 5 วันทำการ) และวันที่ 19 - 21 ตุลาคม 2558 (รวม 3 วันทำการ) ทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดว่าขณะนั้นมีความต้องการซื้อขายหุ้น FVC ในปริมาณมากและเข้ามาซื้อขายตาม จึงเข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 243(1) ประกอบมาตรา 244 และมาตรา 243(2) ซึ่งต้องระวางโทษตามมาตรา 296 แห่ง พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ซึ่งปัจจุบันยังคงเป็นความผิดตามมาตรา 244/3 และมีระวางโทษตามมาตรา 296 แห่ง พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2559
นอกจากนี้ การกระทำของนายอนุพนธ์ในฐานะผู้จัดการกองทุนส่วนบุคคลที่บริหารโดยบริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน)) ซึ่งมีอำนาจสั่งซื้อขายในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของลูกค้ากองทุนส่วนบุคคล ได้ส่งคำสั่งซื้อขายหุ้น FVC ในลักษณะการสร้างราคาในช่วงเวลาดังกล่าว เข้าข่ายเป็นการปฏิบัติหน้าที่อย่างไม่ซื่อสัตย์สุจริตและระมัดระวังรักษาผลประโยชน์ของผู้มอบหมายให้จัดการกองทุนส่วนบุคคลโดยใช้ความรู้ความสามารถเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ เข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรา 134 วรรคสองและวรรคสาม ประกอบมาตรา 133 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ รวมทั้งกรณีของนายประพล ที่ไม่รายงานการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งหุ้น FVC ข้ามร้อยละ 5 ของจำนวนสิทธิออกเสียงทั้งหมด ยังเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 246 แห่ง พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ อีกด้วย
ทั้งนี้ ก.ล.ต. ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า พฤติกรรมของกลุ่มผู้กระทำความผิดมีรูปแบบของการกระทำเป็นขบวนการ มีลักษณะแบ่งหน้าที่ในการส่งคำสั่งซื้อขายเพื่อสร้างราคาหุ้น FVC ประกอบกับผู้กระทำความผิดหลายรายในกรณีนี้ ก.ล.ต. ได้ตรวจสอบการกระทำผิดในหลายกรณีต่อเนื่องกันทั้งที่เป็นการทุจริตและการกระทำอันไม่เป็นธรรมในการซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่ง ก.ล.ต. ได้ดำเนินการตามกฎหมายกับบุคคลดังกล่าวแล้วในหลายกรณี ก.ล.ต. จึงกล่าวโทษกลุ่มผู้กระทำความผิดทั้ง 13 ราย ต่อ บก.ปอศ. เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป พร้อมกันนี้ ก.ล.ต. ยังได้แจ้งการดำเนินคดีตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ข้างต้น ต่อ ปปง. เนื่องด้วยเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
อนึ่ง การกล่าวโทษของ ก.ล.ต. เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการบังคับใช้กฎหมายทางอาญาเท่านั้น ภายใต้กระบวนการนี้ การพิจารณาวินิจฉัยว่าบุคคลใดเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายเป็นขั้นตอนในอำนาจการสอบสวนของพนักงานสอบสวน การสั่งฟ้องคดีของพนักงานอัยการ ตลอดจนดุลพินิจของศาลยุติธรรม ตามลำดับ ทั้งนี้ ก.ล.ต. จะติดตามความคืบหน้าในการดำเนินคดีต่อไป และจะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ เพื่อสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ในกระบวนการภายหลัง ก.ล.ต. ได้กล่าวโทษแล้ว