นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า ในมุมมองทางปัจจัยพื้นฐานถือว่าตลาดหุ้นไทยอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างดี กำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ปี 2567 ฟื้นตัวต่อเนื่อง ประเมิน EPS Growth ที่ราว 12% โดยที่บริษัทใน SET50 มากกว่าครึ่งสามารถทำกำไรได้สูงกว่าระดับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ระบาดแล้ว ในมุมมองของ Valuation พบว่าค่า PER ณ สิ้นปี 2567 อยู่ที่บริเวณ 14 เท่า มีค่า PBV ที่ 1.34 เท่า ซึ่งถือว่าอยู่ระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับอดีต
หากพิจารณาระดับ Market Earning Yield Gap (ใช้กำไรคาดการณ์ปี 2567) อยู่ที่ 4% ถือเป็น Valuation ที่ถูก และเหมาะสมสำหรับการลงทุนระยะยาว นอกจากนี้ ทิศทางดอกเบี้ยนโยบายก็ถือว่าได้สิ้นสุดวัฎจักรขาขึ้นแล้ว และอยู่ในช่วงที่รอเวลาปรับลดลง ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวยิ่งจะทำให้ Market Earning Yield Gap ขยายตัวสูงขึ้นเพิ่มความน่าสนใจขึ้นตามลำดับ
และหากพิจารณาในมุมมองเศรษฐกิจ มีโอกาสฟื้นตัวราว 3.5-4% แม้จะมีความล่าช้าของโครงการภาครัฐฯ อาทิ ดิจิทัลวอลเลต อย่างไรก็ดี ภาพระยะยาวอาจเป็นแรงผลักดันผ่านนโยบายการคลัง แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศ เพื่อเรียกความเชื่อมั่น พร้อมกับกระตุ้นเศรษฐกิจไทยที่เข้มข้นขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยที่ทำให้ SET Index ปรับตัวขึ้นไปได้ยากในระยะสั้น โดยทางฝ่ายเห็นว่าเป็นเพราะมูลค่าการซื้อขายที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น มูลค่าการซื้อขายที่เบาบางเฉลี่ย 4.5 หมื่นล้านบาท/วัน (YTD) คิดเป็น Turnover ราว 65% ต่อปี สาเหตุหลักมาจากเม็ดเงินต่างชาติที่ยังไหลออกจากตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงระดับความไม่มั่นใจของนักลงทุนที่มีต่อ SET Index
โดยอาจมีสาเหตุได้หลายประการ ไม่ว่าจะเป็นความไม่เป็นเอกภาพของแนวโน้มนโยบายการเงิน และนโยบายการคลังของประเทศ, ความกังวลเรื่องตลาดตราสารหนี้ ที่ในปี 2567 มีหุ้นกู้ครบกำหนดชำระจำนวนมากกว่า 8.8 แสนล้านบาท และมีสัญญาณที่บางส่วนมีความเสี่ยงต่อการชำระคืน นอกจากนี้ ยังมีความกังวลสงสัยในรูปแบบการซื้อขายผ่าน Program Trading และการทำ Short Sell ในหุ้นที่มีขนาดกลาง-ใหญ่ สภาวะดังกล่าว ทำให้ SET Index มีความผันผวนเพิ่มความเสี่ยงสำหรับการลงทุนในระยะสั้น
กลยุทธ์ที่แนะนำ เป็นการสะสมหุ้นคุณภาพที่สามารถจ่ายเงินปันผลได้ต่อเนื่อง เพื่อกางลงทุนระยะยาว อาทิ AP SPALI ADVANC PTTEP TTB และหุ้นอิงกับการท่องเที่ยว AOT BDMS หลังจากมีการเปิดฟรีวีซ่าไทยจีนถาวรตั้งแต่เดือน มี.ค. เป็นต้นไป ส่วนเป้าหมาย SET Index สิ้นปี 2567 ทางฝ่ายประเมินว่าน่าจะอยู่ที่บริเวณ 1650-1670 จุด ภายใต้ MEYG ที่ระดับ 3.3% อิง P/E 17.24 เท่า และใช้ EPS67F 96-97 บาท/หุ้น