ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 38,519.84 จุด เพิ่มขึ้น 369.54 จุด หรือ +0.97%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,906.19 จุด เพิ่มขึ้น 60.54 จุด หรือ +1.25% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,361.64 จุด เพิ่มขึ้น 197.63 จุด หรือ +1.30%
ทอร์สเต็น สล็อค นักวิเคราะห์จากบริษัท Apollo Global Management แสดงความเห็นว่า นักลงทุนซึมซับผลการประชุมเฟดครั้งล่าสุดและเข้าช้อนซื้อหุ้น ซึ่งช่วยหนุนดัชนีดาวโจนส์ดีดตัวขึ้นปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq พุ่งขึ้นกว่า 1% นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีที่ร่วงลงสู่ระดับต่ำกว่า 4%
หุ้น 10 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยพุ่งขึ้น 1.98% และดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคพุ่งขึ้น 1.97%
หุ้นเมอร์ค แอนด์ โค ซึ่งเป็นบริษัทยารายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 4.6% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้ในไตรมาส 4/2566 อยู่ที่ 1.463 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.450 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยได้แรงหนุนจากยอดขายยา Keytruda ซึ่งเป็นยารักษาโรคมะเร็ง รวมทั้งยอดขาย Gardasil ซึ่งเป็นวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก
ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารภูมิภาค (KBW Regional Bank Index) ดิ่งลง 2.3% โดยถูกกดดันจากหุ้นธนาคารนิวยอร์ก คอมมูนิตี้ แบงคอร์ป (New York Community Bancorp) ที่ร่วงลง 11% หลังจากธนาคารเปิดเผยตัวเลขขาดทุนในไตรมาส 4/2566 และประกาศลดการจ่ายเงินปันผล ซึ่งส่งผลให้ตลาดเริ่มกลับมาวิตกกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพด้านการเงินของธนาคารระดับภูมิภาคในสหรัฐ
นักลงทุนจับตาผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ โดยบริษัทเมตา แพลตฟอร์มส์, แอปเปิ้ล อิงค์ และอะเมซอน จะเปิดเผยผลประกอบการหลังจากตลาดปิดทำการซื้อขาย ขณะที่หุ้นเมตา, แอปเปิ้ล และอะเมซอน ปิดพุ่งขึ้น 1.2%, 1.3% และ 2.6% ตามลำดับ
ข้อมูลจากแอลเอสอีจี (LSEG) ระบุว่า ขณะนี้มีบริษัท 208 แห่งในดัชนี S&P500 ที่ได้รายงานผลประกอบการแล้ว โดยในจำนวนนี้มี 80% ที่รายงานผลประกอบการสูงกว่าคาด
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 9,000 ราย สู่ระดับ 224,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 213,000 ราย
สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 49.1 ในเดือนม.ค. จากระดับ 47.1 ในเดือนธ.ค. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 47.2 แต่ดัชนีอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 50 ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคการผลิตสหรัฐอยู่ในภาวะหดตัว และเป็นการหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 15
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในวันนี้ โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 173,000 ตำแหน่งในเดือนม.ค. ซึ่งชะลอตัวจากระดับ 216,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. และคาดว่าอัตราว่างงานจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3.8% ในเดือนม.ค. จากระดับ 3.7% ในเดือนธ.ค.