นายภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ ประธานผู้บริหารสายงานกลยุทธ์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เผยในงานสัมมนา Post TODAY Thailand ECONOMIC DRIVES 2024 "ฝ่ามรสุมเศรษฐกิจ 2567" หัวข้อ NEW BUSINESS กับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ว่า การทำธุรกิจใหม่ของ SIRI คือ ต้องเป็นธุรกิจที่สามารถต่อยอดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นธุรกิจหลักได้ และสามารถขายได้ และต้องช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจ
แน่นอนว่าการปรับเปลี่ยนแนวคิดเป็นไปตามเทรนความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต้องคำนึงถึง อย่างเช่น การนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เพื่อตอบสนองความต้องการให้กับลูกค้า โดยเฉพาะในปัจจุบันที่สู่ยุค Aging Society หรือสังคมผู้สูงอายุ ก็มีการนำเอาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับความเป็น Smart Home เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวก ซึ่งต้องเป็นเทคโนโลยีที่ใช้งานง่าย เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้สูงอายุ
ทั้งนี้ มองว่าความต้องการที่อยู่อาศัยในปัจจุบันยังคงมีอยู่ เพราะบ้านถือเป็น 1 ในปัจจัย 4 ที่สำคัญในการดำรงชีวิต เพียงแต่ว่าความต้องการของลูกค้าอาจเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย จากในอดีตที่ต้องการบ้านขนาดใหญ่ มีพื้นที่ใช้สอยมาก แต่ในปัจจุบันก็อาจต้องลดขนาดของบ้านลงไปบ้างเพราะด้วยราคาที่ดินในยุคนี้ที่สูงขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทก็ยังมองหาการต่อยอดธุรกิจใหม่ๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้าง New S Curve ได้แก่ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด บริษัทบริการจัดหาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร โดยมีการจัดตั้ง “LIV-24” ศูนย์ควบคุมแบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง เต็มรูปแบบแห่งแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย เพื่อช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ลูกบ้าน เอาระบบประมวลผลอัจฉริยะมาใช้บริหารจัดการระบบสาธารณูปโภคทั้งไฟฟ้าและน้ำ ให้กับลูกบ้าน
ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้มีการขยายการลงทุนแบบ Asset-Light เพิ่มมากขึ้น เช่น การลงทุนในธุรกิจโรงแรม The Standard ซึ่งเป็นแบรนด์โรงแรมระดับโลกที่เป็นที่ยอมรับ ลงทุนใน บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) ที่ดำเนินธุรกิจการเงินและหลักทรัพย์ ลงทุนในบริษัท ชาร์จ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SHARGE) ผู้นำด้านการสร้าง EV Charging Ecosystem ลงทุนในบริษัท ไอออน เอนเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เพื่อทำระบบโซล่าเซลล์ ตามนโยบายของประเทศในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ภายในปี 2593 เป็นต้น
พร้อมกันนี้ บริษัทยังมีโรงงานพรีคาสท์สีเขียว โรงงานสีเขียวแห่งแรกและแห่งเดียวในไทย ซึ่งเชื่อว่านี่จะเป็นอีกส่วนสำคัญในการผลักดันพันธกิจองค์กรด้านความยั่งยืนของบริษัท ที่รุกหน้าสู่เป้าหมายการเป็นอสังหาริมทรัพย์รายแรกที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2593 รวมถึงรองรับการเติบโตโครงการใหม่ๆ ปัจจุบันโรงงานดังกล่าว มีอยู่ 4 แห่ง สามารถสร้างบ้านได้ 3,700 หลังต่อปี เป็นโรงงานปลอดฝุ่น สามารถบำบัดน้ำเสียภายในโรงงานได้ ที่สำคัญวัสดุเหลือใช้จากการสร้างน้อยมาก ซึ่งบริษัทให้ความสำคัญมากในการบริหารจัดการขยะ
สิ่งสำคัญที่จะทำให้บริษัทก้าวสู่เป้าหมาย Net Zero ได้ไม่เพียงแต่บริษัทเป็นผู้ดำเนินการเพียงลำพังแต่ลูกบ้านก็ต้องให้ความร่วมมือร่วมกันทำด้วย ดังนั้น บริษัทจึงมีการดำเนินการให้ความรู้กับลูกบ้านในการลดการปล่อยคาร์บอน อาทิ การแยกขยะ ที่สุดท้ายแล้วต้องไม่กลับนำมารวมกันตอนทิ้ง โดยมีการใช้สีถุงขยะสำหรับขยะแต่ละประเภทอย่างชัดเจน ให้ความรู้กับลูกบ้าน รวมถึงมีการสนับสนุนและปลูกฝังความรู้ความเข้าใจให้กับเยาวชนต่างๆ ตั้งแต่ยังเด็ก