บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจปี 2567 มองว่าธุรกิจปิโตรเลียม ทิศทางและแนวโน้มราคาน้ำมันดิบปี 2567 คาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันของโลกอยู่ที่ประมาณ 104 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นประมาณ 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน เทียบกับปี 2566 ที่ประมาณ 102 ล้านบาร์เรลต่อวัน ตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ผ่อนคลายลง อย่างไรก็ดี ธุรกิจปิโตรเลียมเผชิญกับความท้าทายหลายประการ อาทิ สถานการณ์วิกฤตอสังหาริมทรัพย์ของจีน ที่คาดว่าจะยังคงส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมันโดยรวม
ประกอบกับมีกำลังการผลิตใหม่จากจีนและตะวันออกกลาง ที่เริ่มดำเนินการผลิตในช่วงปลายปี 2566 ซึ่งคาดว่าจะกดดันกำไรขั้นต้นจากการกลั่น (GRM) นอกจากนี้ อุปทานน้ำมันดิบจากประเทศนอกกลุ่มโอเปกและพันธมิตรอยู่ในระดับสูง ขณะที่กำลังผลิตสำรอง (Spare Capacity) ของกลุ่มโอเปกและพันธมิตร มีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงเช่นเดียวกัน โดยคาดว่า Spare Capacity ส่วนดังกล่าวจะอยู่เหนือระดับ 6 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้การปรับลดการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่มโอเปกและพันธมิตรทำได้ยากขึ้น
สำหรับราคาน้ำมันดิบดูไบในปี 2567 คาดว่าจะอยู่ในช่วง 75-78 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ใกล้เคียงกับราคาเฉลี่ยทั้งปี 2566 ที่ประมาณ 82 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล โดยปัจจัยหลักที่คาดว่าจะมีผลต่อราคาน้ำมันดิบ ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยนโยบาย หากมีการปรับลดลงจะสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมัน ขณะที่การผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 13 ล้านบาร์เรลต่อวัน ถือว่าอยู่ในระดับสูงและมีแนวโน้มที่จะเป็นปัจจัยกดดันต่อราคาน้ำมันดิบ นอกจากนี้ คาดว่าความขัดแย้งในตะวันออกกลางจะยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่ออุปทานของน้ำมันดิบ
ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมี ทิศทางและแนวโน้มราคาปิโตรเคมีปี 2567 คาดอุตสาหกรรมปิโตรเคมียังคงเผชิญความท้าทายอย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา จากกำลังการผลิตใหม่ที่ทยอยเพิ่มขึ้นในประเทศจีน ขณะที่ความต้องการของตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำกว่า โดยความต้องการของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในปี 2567 คาดจะเติบโตประมาณ 2-3% หลังจากผ่านพ้นฐานต่ำในปี 2566 ซึ่งจะเป็นการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งหลังของปีอาจเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของความต้องการที่ชัดเจนขึ้น หลังเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอตัวลงส่งผลให้ธนาคารกลางในหลายประเทศทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการใช้จ่ายของผู้บริโภคให้มากขึ้น
ขณะที่ความต้องการอุตสาหกรรมปลายทางคาดทยอยกลับมาฟื้นตัว อาทิ อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ที่ยังคงได้รับอานิสงส์จากภาคการท่องเที่ยวที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่มีสัญญาณขาขึ้นของวัฏจักรสินค้าที่เริ่มปรากฏนับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2566 อีกทั้งภาคการส่งออกของประเทศในกลุ่มอาเซียนที่คาดว่าจะมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นสอดคล้องกับแนวโน้มปริมาณการค้าโลกที่คาดจะฟื้นตัว
อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงและปัจจัยกดดันในด้านอุปทาน (Supply) ที่เพิ่มขึ้นจำนวนมากในประเทศจีน ส่งผลให้กระแสการค้าในภูมิภาคเอเชียเปลี่ยนแปลงไปโดยผู้ผลิตส่งสินค้าไปยังประเทศจีนจำเป็นต้องแสวงหาตลาดอื่นเพิ่มเติม ในด้านปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครน และอิสราเอล-กลุ่มฮามาส ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด หากสถานการณ์มีความรุนแรงหรือลุกลามไปยังประเทศอื่น อาจส่งผลต่อราคาพลังงานและต้นทุนวัตถุดิบให้มีความผันผวนเพิ่มขึ้นได้
นอกจากนี้ อุตสาหกรรมยังต้องปรับตัวเพื่อเตรียมตัวกับข้อจำกัดทางการค้าในประเด็นด้านการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ หรือ climate change ที่หลายประเทศตั้งเป้าการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจก โดยประเทศสหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป จะเริ่มใช้ข้อกำหนดเกี่ยวกับการควบคุมการนำเข้าผลิตภัณฑ์ที่ปล่อยก๊าซดังกล่าวในปริมาณสูง ซึ่งครอบคลุมถึงผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในห่วงโซ่การผลิต ส่งผลให้ผู้ประกอบการที่เกี่ยวเนื่องในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีต้องปรับการดำเนินการต่างๆ เพื่อรองรับข้อกำหนดดังกล่าว
สำหรับแผนการลงทุนทางคณะกรรมการของบริษัทได้มีมติอนุมัติแผนการลงทุน 5 ปีคือปี 2567 ถึง 2571 โดยวงเงินรวม 13,888 ล้านบาท
แผนการลงทุนดังกล่าวข้างต้นเป็นโครงการลงทุนที่มีแผนการดำเนินงานรองรับมีเป้าหมายเพื่อสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจ