ดร.นิเวศน์ : ไทย-จีน ตลาดหุ้นป่วยแห่งเอเชีย

17 ก.พ. 2567 | 10:00 น.
อัปเดตล่าสุด :17 ก.พ. 2567 | 10:01 น.

ดร.นิเวศน์ ชี้ตลาดหุ้นไทยและจีน ไม่ต่างกับ"คนป่วย"แห่งเอเชีย เมื่อวัดจากผลดำเนินงานของดัชนีหุ้นในช่วง 10 ปี สาเหตุก็มาจากการที่คนแก่ลง และปัญหาการเมืองที่เป็นตัวขัดขวางการปฏิรูป ขณะที่ตลาดหุ้นที่มีอนาคต เป็น"ซุปเปอร์สตาร์" จะเป็นที่ใดกันบ้างมาดูกัน

หลังจากที่เปลี่ยนแนวทางการลงทุนในตลาดหุ้น จากที่เน้นเฉพาะในตลาดไทยไปเป็นการลงทุนในตลาดหุ้น “ทั่วโลก” และจากการลงทุนเลือกหุ้นเป็นรายตัวเป็นหลัก  เป็นการลงทุนผสมผสานระหว่างรายตัวกับการลงทุนใน  “กองทุน” ของประเทศหรือกองทุนของกลุ่มบริษัทที่น่าสนใจตามอุตสาหกรรมหรือตามเทคโนโลยีที่เป็นหุ้นแห่งอนาคต เป็นต้น  ผมก็เริ่มศึกษาว่าประเทศหรือเศรษฐกิจไหนที่น่าสนใจ—ในเอเชีย

เริ่มจากการมองดูผลการดำเนินงานของดัชนีตลาดหุ้นในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา เริ่มจากทางตะวันตกคืออินเดียและเคลื่อนไปทางตะวันออกสุดที่ญี่ปุ่น  ดูเฉพาะประเทศหลัก ๆ  ที่มีตลาดหุ้นที่ใช้การได้เช่นเดียวกับระบบการเมืองและเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพมานานพอ

สิบปีที่ตลาดหุ้นอินเดียนั้น  ดูแบบหยาบ ๆ ก็คือ  เป็น “ยุคทอง” ของตลาดหุ้น  ซึ่งเหตุผลก็คงเป็นว่าเศรษฐกิจอินเดียกำลังดีขึ้นทุกด้าน  เช่นเดียวกับสังคมและการเมืองทั้งในและต่างประเทศที่กำลังดู “สูงส่ง” ขึ้นทุกวัน  อินเดียกำลังกลายเป็นเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกภายในเวลาไม่กี่ปี  นอกจากนั้น อินเดียเป็นมิตรกับทุกประเทศและทุกคนเกรงใจ  อยากเป็นเพื่อนด้วยทั้งจีนและอเมริกา

และนั่นคงเป็นเหตุให้ 10 ปีที่ผ่านมา  ดัชนีตลาดหุ้นอินเดียเติบโตขึ้น 240% หรือให้ผลตอบแทนทบต้นถึงปีละ 13% ซึ่งถ้ารวมปันผลก็อาจจะประมาณ 16% ต่อปี  โดยที่ดัชนีปรับตัวขึ้นอย่างสม่ำเสมอและมีความเสี่ยงที่จะขาดทุนน้อยมาก  อย่างไรก็ตาม  คนที่จะไปลงทุนในตลาดหุ้นอินเดียตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้วน่าจะน้อยมาก  เพราะในเวลานั้น  ตลาดหุ้นอินเดียยังแทบจะเป็นตลาดที่  “ลงทุนไม่ได้” สำหรับคนจำนวนมาก รวมทั้งผมที่คิดว่า  อินเดียยัง “ยากจนเกินไป”

จากอินเดียผมขอมาที่มาเลเซียก่อน  นี่เป็นประเทศที่เคยบริหารงานได้ดีมากและเคยเป็น  “ดารา” ในด้านของเศรษฐกิจและ “แซง” ประเทศ Emerging หรือ“กำลังพัฒนา” แทบทุกประเทศรวมถึงประเทศไทย  อย่างไรก็ตาม  ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา  เศรษฐกิจมาเลเซียก็ดูไม่ดีนัก  ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือระบบการบริหารและการปกครองก็ดูเหมือนจะด้อยและถดถอยลง  มีการคอร์รับชั่นขนาดที่อดีตนายกถูกจับติดคุก  นักการเมืองที่ได้รับความนับถือยกย่องบางคนก็ถูกทำลายโจมตีและต้องติดคุกด้วยข้อหาทางสังคมที่โลกตะวันตกไม่ยอมรับ  ภาพของมาเลเซียเปลี่ยนไปมาก

ดัชนีตลาดหุ้นมาเลเซียในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาไม่ไปไหนและลดลงถึง 16% กลายเป็น   “ทศวรรษที่หายไป” ของตลาดหุ้น  นอกจากนั้น ค่าที่มาเลเซียมีประชากรค่อนข้างน้อย  ซึ่งทำให้เศรษฐกิจมีขนาดเล็กเกินกว่าที่จะสนับสนุนให้มีบริษัทขนาดใหญ่ ๆ  มาก  ก็ทำให้ตลาดหุ้นมาเลเซียขาดความน่าสนใจจากนักลงทุนจากต่างประเทศ  ดังนั้น โอกาสที่ผมจะไปลงทุนที่มาเลเซียนั้นคงยังห่างไกล

สิงคโปร์นั้น  ถ้ามองทางด้านเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ก็ต้องถือว่ามีความสำคัญไม่น้อย  เพราะเป็นศูนย์กลางทางด้านการขนส่งทางทะเลของโลกที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่ง  นอกจากนั้น  สิงคโปร์มีความเจริญทางเศรษฐกิจอย่างสูง  รายได้ต่อหัวสูงที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง  เป็นศูนย์กลางทางการเงินที่โดดเด่นขึ้นทุกวันและแซงฮ่องกงไปแล้ว  อย่างไรก็ตาม  การที่มีประชากรน้อยมากก็ทำให้ขาดบริษัทขนาดใหญ่ยกเว้นสถาบันการเงินที่จะเข้ามาจดทะเบียนซื้อขายหุ้น  และนั่นก็ทำให้ตลาดหุ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาไม่ไปไหน  คือบวกแค่ 4%  หรือพูดง่าย ๆ  คนที่ลงทุนในสิงคโปร์ในช่วง 10 ปีนั้นอาจจะได้แค่ปันผล  แม้ว่าภาพโดยรวมของเศรษฐกิจสิงคโปร์และการบริหารประเทศนั้น  “ยอดเยี่ยม” ที่สุด

ฟิลิปปินส์นั้น เคยเป็นดาราแห่งเอเชียในช่วงที่ผมยังเป็นเด็ก อานิสงส์จากการเป็นประเทศในอานัติของอเมริกา  อย่างไรก็ตาม  ระบบเผด็จการมาร์คอสที่ครองประเทศมานานมากและไม่ได้พัฒนาประเทศเท่าที่ควร ทำให้ฟิลิปปินส์ในช่วงยาวนานน่าจะเป็นสิบ ๆ ปี  กลายเป็น  “คนป่วยแห่งเอเซีย” และถูกประเทศไทยแซงแบบ “ไม่เห็นฝุ่น”  อย่างไรก็ตาม หลังจากระบบมาร์คอสล่มสลาย  และโลกาภิวัตน์เดินหน้าไปเต็มที่ ฟิลิปปินส์ก็กลับมาพัฒนาเศรษฐกิจได้ดีขึ้นมาก  แต่นั่นก็ยังไม่สามารถส่งผลมาถึงตลาดหุ้นได้มากนัก ดัชนีตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เติบโตขึ้นเพียง 8% ในระยะเวลา 10 ปี  หรือให้ผลตอบแทนเพียง 0.8% ต่อปีแบบทบต้น

อินโดนีเซียนั้นในช่วงเร็ว ๆ  นี้ก็ต้องถือว่าเป็นดารา  เหตุผลก็เพราะว่าเป็นประเทศที่มีประชากรมากระดับต้น ๆ  ของโลก  เป็นรองก็เฉพาะอินเดีย  จีนและอเมริกา  แต่ในขณะเดียวกันประชากรก็ยังเพิ่มขึ้นค่อนข้างเร็วเนื่องจากเป็นประเทศมุสลิม  ทำให้เศรษฐกิจโตเร็วขึ้น  ทั้งจากการบริโภคภายในประเทศและจากกำลังแรงงานที่จะมาแทนที่จีนที่มีปัญหาทางการค้ากับโลกตะวันตก  ซึ่งทำให้ได้รับการลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นมาก  และแนวโน้มก็จะยังเพิ่มขึ้นต่อไป

ดัชนีตลาดหุ้นอินโดนีเซียในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้นเพิ่มขึ้น 59% หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นที่ 4.8% ต่อปี  ถ้ารวมปันผลก็อาจจะอยู่ที่เกือบ 8%  นับเป็นผลตอบแทนที่ใช้ได้  โดยเฉพาะถ้านับแค่ช่วง 4 ปีที่ผ่านมาที่บทบาทของอินโดนีเซียเริ่มเห็นชัดขึ้นอานิสงส์จากสงครามการค้าระหว่างอเมริกายุคประธานาธิบดีทรัมพ์จนถึงปัจจุบัน  ดัชนีหุ้นอินโดนีเซียก็ปรับตัวขึ้นถึง 74% หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นถึงปีละ 14.9%  พูดง่าย ๆ  อินโดนีเซียอาจจะกำลังเข้าสู่ “ยุคทอง” ของตลาดหุ้นได้

กลับมาที่เวียดนามที่ชัดเจนว่าเป็น “ซุปเปอร์สตาร์” อยู่แล้วในแง่ที่ว่าจะเป็นโรงงานของโลกที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง  ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นประมาณ 111% หรือให้ผลตอบแทนแบบทบต้นปีละ 7.8% และถ้ารวมปันผลก็น่าจะประมาณเกือบ 11% ต่อปี ซึ่งก็ถือว่าโดดเด่นมากเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน

ที่ตามมาติด ๆ  ก็คือไต้หวันซึ่งก็เคยเป็นซุปเปอร์สตาร์ในช่วงที่กำลังพัฒนาเมื่อ 50-60 ปีก่อน  และก็สามารถยกระดับขึ้นมากลายเป็นประเทศพัฒนาแล้วที่มีความแข็งแกร่งทางด้านเทคโนโลยี  และนั่นทำให้ไต้หวันซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรเพียง  24 ล้านคน  สามารถสร้างเศรษฐกิจและบริษัทที่มีขนาดใหญ่  “ระดับโลก” ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้น  เทียบกับมาเลเซียที่มีประชากร 34 ล้านคน  และนั่นทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไต้หวันในรอบ 10 ปีปรับตัวขึ้นพอ ๆ กับเวียตนามที่ 115%

ดัชนีหุ้นจีนที่เซี่ยงไฮ้ในรอบ 10 ปี ปรับตัวขึ้น 40% หรือ 3.4% ต่อปี แบบทบต้น  เช่นเดียวกับตลาดหุ้นเสิ่นเจิ้นที่เป็นหุ้นไฮเท็คที่ปรับขึ้น 43% หรือ 3.6% ต่อปี นั่นสะท้อนภาพของจีนที่น่าจะกำลัง “อิ่มตัว” ทางเศรษฐกิจ  อานิสงส์อาจจะมาจากประชากรที่แก่ตัวลงอย่างรวดเร็วและคนทำงานก็กำลังลดลงซึ่งทำให้เศรษฐกิจจะเติบโตช้าลงมากอย่างรวดเร็วหลังจากนี้

แต่อีกประเด็นหนึ่งอาจจะมาจากนโยบายของสีจิ้นผิงที่ขึ้นสู่อำนาจเมื่อ 11 ปีก่อนที่ พยายามนำจีนกลับไปสู่  “สังคมนิยม” ที่เคยทำให้จีนยากแค้นมากในยุคเหมาเจ๋อต๋ง  ซึ่งทำให้ธุรกิจโดยเฉพาะขนาดใหญ่และเป็นอุตสาหกรรมดิจิทัล “ปั่นป่วน” ทำรายได้และกำไรถดถอยลง  ซึ่งนั่นก็นำมาสู่ปัญหาของตลาดหุ้นฮ่องกงด้วยที่  “เจ็บปางตาย”

ดัชนีฮั่งเส็งในรอบ 10 ปีที่ผ่านลดลงถึง  28% เลวร้ายที่สุดในเอเชีย  เศรษฐกิจยากลำบาก  การเมืองมีการประท้วงโดยคนรุ่นใหม่อย่างรุนแรงและต่อเนื่อง  ระบบ “เสรี” ในฮ่องกงถูกลดทอนลงอย่างต่อเนื่อง  สถานะของฮ่องกงในฐานะของศูนย์กลางทางการค้าและการเงินของจีนตกต่ำลงอย่างมาก  ดังนั้น  นักลงทุนต่างประเทศในตลาดหุ้นฮ่องกงก็ทยอยถอนการลงทุนไปเรื่อย ๆ  

ตลาดหุ้นไทยในรอบ 10 ปี ดัชนีเพิ่มขึ้นเพียง 6% หรือเท่ากับ 0.6% ต่อปีแบบทบต้น  และอยู่ในกลุ่มที่ “แย่ที่สุด” ของเอเชีย  ทั้ง ๆ  ที่ก่อนหน้านั้นเศรษฐกิจของไทยเป็น  “ดารา” เป็น “ศูนย์กลางของอาเซียน” แต่เมื่อ 10 ปีก่อน  ประเทศไทยที่ค่อนข้างก้าวหน้าทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านก็เกิด  “รัฐประหาร” อีกครั้งหนึ่งหลังจากที่เกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่าง “คนรุ่นใหม่” กับ “คนรุ่นเก่า”  ในยามที่ประเทศที่เจริญพอสมควรทั้งโลกเลิกทำ  “รัฐประหาร” กันแล้ว  ผลก็คือ  ประเทศถดถอยลงทุกด้านในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

ตลาดหุ้นเกาหลีในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาโตขึ้น 34% หรือปีละ 3% แบบทบต้นรวมปันผลอาจจะเป็น 5-6% ก็ต้องถือว่าสมเหตุผลและ “อิ่มตัว” ว่าที่จริงเกาหลีไม่ได้มีอะไรใหม่หรือโดดเด่นยกเว้นเรื่องของธุรกิจบันเทิง  ส่วนญี่ปุ่นที่อิ่มตัวมา 2 ทศวรรษก่อนหน้านั้น  ดูเหมือนว่าจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นอานิสงส์จากการปฏิรูปของนายกชินโสะอาเบะ  ดัชนีในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาโตขึ้นถึง 170% หรือปีละ 10.4% แบบทบต้นไม่รวมปันผล

ข้อสรุปสำคัญของข้อมูลทั้งหมดนี้สำหรับผมก็คือ  ตลาดหุ้นไทยและจีนส่วนที่เป็นฮ่องกงดูเหมือนว่าจะมีปัญหาระยะยาวที่ยังแก้ไม่ตกคล้าย ๆ  กับคนป่วย  โดยเหตุมาจากการที่คนแก่ตัวลงและมีปัญหาในเรื่องของการเมืองที่ขัดขวาง “การปฏิรูป” ที่จะเปลี่ยนให้เกิดการพัฒนาและหลุดพ้นจากสถานะ “อิ่มตัว” ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นไม่ไปไหนเพราะนักลงทุนต่างประเทศถอนทุนออกตลอดเวลา