นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า ประเมินภาพรวมอุตสาหกรรมนับตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม มาจนถึง เดือนกุมภาพันธ์ 2567 ความต้องการใช้น้ำมันมีแนวโน้มการขยายตัวในทิศทางที่ดีขึ้นกว่าเมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเปิดประเทศและการกลับมาฟื้นตัวของการท่องเที่ยว ทำให้การใช้ยานยนต์ปรับตัวเพิ่มขึ้น
โดยบริษัทคาดว่าปริมาณการจำหน่ายน้ำมันในไตรมาส 1/2567 จะเติบโต In-line กับทั้งปีที่วางเป้าหมายปริมาณการจำหน่ายเติบโตไว้ไม่น้อยกว่า 10-12% จากปีก่อน ที่ทำได้กว่า 5,960 ล้านลิตร ต้องยอมรับว่าจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของภาครัฐ ทำให้อัตราการเดินทางขยายตัวเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน พร้อมกันนี้ บริษัทจะยังคงความสามารถในการครองส่วนแบ่งการตลาดน้ำมันผ่านช่องทางสถานีบริการได้ใกล้เคียงหรือไม่น้อยกว่า 20% จากปีก่อน
และคาดว่าปริมาณการจำหน่ายก๊าซ LPG ในปี 2567 จะขยายตัวสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน บริษัทวางเป้าหมายการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายก๊าซ LPG ไว้ที่ไม่น้อยกว่า 30-40% จากปีก่อน ที่ทำได้ 6,464 ล้านลิตร โดยสัดส่วนการจำหน่ายก๊าซ LPG ของบริษัทแบ่งออกเป็น สำหรับยานยนต์คิดเป็นประมาณ 21%, ครัวเรือน 60% และอุตสาหกรรม 19% ของยอดขายก๊าซ LPG ทั้งหมดของบริษัท
ทั้งนี้ บริษัทวางเป้าหมายการเติบโตของยอดขายธุรกิจ Non-oil ไว้ที่ ไม่ต่ำกว่า 40-50% จากปีก่อน และจากการมุ่งเน้นในการขยายธุรกิจที่เป้น Non-oil เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีนี้ ทำให้คาดว่าสัดส่วนในการสร้างอัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ที่เฉลี่ยไม่น้อยกว่า 25-30% จากปีก่อน ขณะที่ความสามารถในการรักษาระดับการเติบโตของ EBITDA ในปี 2567 ไว้ที่ไม่น้อยกว่า 8-12% จากปีก่อน
แผนการลงทุนในปี 2567 บริษัทวางงบประมาณไว้ที่ประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท เพื่อรองรับในการขยายธุรกิจทั้ง Oil และ Non-Oil อย่างต่อเนื่อง แบ่งออกเป้นการลงทุนรองรับขยายสถานีบริการน้ำมัน 1,000-1,500 ล้านบาท, ขยายธุรกิจ LPG 800-1,000 ล้านบาท, เพิ่มร้านกาแฟพันธุ์ไทย 500-1,000 ล้านบาท, รองรับการลงทุนต่อยอดในธุรกิจ Non-oil อื่นๆ 500,1,000 ล้านบาท และรองรับการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ เพิ่มเติมอีก 1,000-1,500 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะขยายสาขาสถานีบริการน้ำมัน (Oil Stations) เพิ่มเป็น 2,251 สถานี จากสิ้นปีก่อนที่มี 2,201 สถานี, เพิ่มสถานีบริการก๊าซ LPG เป็น 788 สถานี จากสิ้นปีก่อนที่มี 573 สถานี, ขยายร้านกาแฟพันธุ์ไทยเป็น 1,282 แห่ง (Touchpoint) จากสิ้นปีก่อนที่มี 882 Touchpoint, และการขยายธุรกิจ Non-oil อื่นๆ ให้รวมเป็น 961 Touchpoint จากสิ้นปีก่อนที่มี 632 Touchpoint หรือการขยายธุรกิจรวม Non-oil (Total Non-oil) อาทิ กาแฟพันธุ์ไทย, LPG, Coffee World, Autobacs, Maxnitron, Max camp และ Ev Station เพิ่มเป็น 3,031 Touchpoint จากสิ้นปีก่อนที่มี 2,087 Touchpoint
นอกจากนี้ จากการที่บริษัทได้เข้าร่วมลงทุนเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บริษัท ไพศาล แคปปิตอล จำกัด หรือ ไพศาล จำนวน 50 ล้านหุ้นหรือคิดเป็นสัดส่วนการถือหุ้น 33.33% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของไพศาล มีมูลค่าลงทุน 825 ล้านบาท คาดว่าจะเข้ามาช่วยสร้าง Synergy ให้กับบริษัทได้ เพราะฐานลูกค้าหลักของ PTG คือเจ้าของรถบรรทุก และจากที่บริษัทมีฐานข้อมูลพฤติกรรมการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงของกลุ่มลูกค้าดังกล่าวจากบัตรสมาชิก PT Max โดยคาดว่าในปี 2567 ไพศาล จะมีการปล่อยสินเชื่อใหม่ประมาณ 1,000-1,200 ล้านบาท เชื่อว่าจะช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับบริษัทได้ทั้งในปีนี้และในอนาคต
ขณะที่ร่วมมือทางธุรกิจกับบริษัท ไทยไพบูลย์ อีควิปเม้นท์ จำกัด ในการดำเนินธุรกิจบริหารจัดการและผลิตเชื้อเพลิงขยะ (Refuse Derived Fuel : RDF) เพื่อสนับสนุน แผนธุรกิจ 5 ปีของบริษัทที่ต้องการขยายพอร์ตธุรกิจ Non-Oil ให้เติบโตในอนาคต โดยธุรกิจ Renewable Energy เป็น 1 ใน 8 ธุรกิจหลักที่ PTG ตั้งเป้าที่จะเข้าลงทุน รวมถึงต่อยอดและขยายธุรกิจ
ขณะเดียวกันบริษัทยังคงมีความสนใจและมองหาโอกาสใหม่ๆ ในการขยายธุรกิจใหม่เพิ่มเติม โดยเฉพาะในส่วนของธุรกิจ Non-oil ซึ่งในแต่ละปีบริษัทจะมีการศึกษาการลงทุนใหม่ๆ อย่างน้อย 10-20 ดีลต่อปี ปัจจุบันก็มีความคืบหน้าในการศึกษาและเจรจาไปบ้างแล้ว เบื้องต้นคาดว่าไม่เกินช่วงครึ่งแรกปี 2567 จะได้เห็นข้อสรุปการลบทุนในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มใหม่ๆ อีกไม่น้อยกว่า 1-2 ดีล