"เถ้าแก่น้อย" เร่งตุนสาหร่ายหลังต้นทุนพุ่ง ปั้นยอดครึ่งปีแรกโต 15%

14 มี.ค. 2567 | 06:00 น.
อัปเดตล่าสุด :14 มี.ค. 2567 | 06:03 น.

เถ้าแก่น้อย หรือ TKN เร่งตุนสาหร่าย หลังต้นทุนอาจพุ่งสูงกว่า 25% คาดยอดขายครึ่งแรกปี 2567 โตไม่ต่ำกว่า 15% ตามเป้าหมาย เร่งเครื่องขยายตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง มองการท่องเที่ยวไทยฟื้นตัวหนุนยอด

นายจิระพงษ์ สันติภิรมย์กุล กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN ว่าต้นทุนสาหร่ายในปี 2567 ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่าเมื่อเทียบกับปีก่อน และคาดว่าอาจได้เห็นภาพของราคาต้นทุนที่เพิ่มขึ้นมากถึง 25-30% ใกล้เคียงกับที่เคยเกิดขึ้นในปี 2560 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสภาวะเอลนีโญ ทำให้ตลาดผู้ส่งออกสาหร่ายหลักอย่างประเทศญี่ปุ่นและจีนได้รับผลกระทบหนัก ทั้งในแง่ของปริมาณและคุณภาพของสาหร่ายไม่ดี แม้กระทั่งประเทศเกาหลีก็โดนผลกระทบดังกล่าวเช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ตามในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทได้เร่งจัดซื้อสาหร่ายล็อตใหม่เข้ามาเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ปริมาณสาหร่ายคงคลังนั้นเพียงพอรองรับการผลิตทั้งปี 2567 แล้ว แต่ก็ยังต้องมีการจัดหาสาหร่ายสำรองไว้รองรับการผลิตในอนาคตเพิ่มเติมอีกด้วย ส่งผลให้ต้นทุนสาหร่ายในช่วงครึ่งหลังปี 2567 อาจต้องรอให้การจัดซื้อของช่วงเดือนมีนาคมนี้แล้วเสร็จก่อนจึงจะสามารถประเมินสถานการณ์ต่อไปได้

อย่างไรก็ดี ข้อได้เปรียบจากการมีเงินทุนจำนวนมาก ทำให้สามารถปรับตัวกับสถานการณ์เช่นนนี้ได้ ในขณะที่คู่แข่งรายเล็กมองว่าอาจทยอยล้มลงเพราะสู้ต้นทุนไม่ไหว

นายจิระพงษ์ ประเมินภาพรวมธุรกิจและยอกขายในช่วงครึ่งแรกปี 2567 คาดว่าจะสามารถสร้างการเติบโตให้ยอดขายได้ไม่น้อยกว่า 15% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และบริษัทยังคงมุ่งเน้นในการรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมให้ใกล้เคียงหรือไม่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับปีก่อนที่ทำได้ที่ระดับ 34.09%

โดยมองว่าจากสถานการณ์การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเริ่มเห็ฯสัญญาณการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน ส่งผลให้คาดว่ายอดขายในประเทศจะมีการเติบโตได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับปีก่อน ที่เฉลี่ยทำยอดขายได้ราว 330-340 ล้านบาท/ไตรมาส

ขณะเดียวกันบริษัทยังคงเดินหน้าขยายตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ทั้งในประเทศจีน สหรัฐฯ แคนาดา อินโดนีเซีย และมาเลเซีย อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีการเจรจากับ mainstream รายใหญ่ในสหรัฐฯ อยู่ 2-3 ราย คาดว่าจะเข้ามาช่วยสร้างยอดขายใหม่ได้เพิ่ม จากเดิมที่มี COSTCO แล้ว

สำหรับสัดส่วนยอดขาย ณ สิ้นปี 2566 แบ่งออกเป็นยอดขายในประเทศ 37% ยอดขายจากประเทศจีน 25% และตลาดต่างประเทศอื่นๆ รวม 38% เป็นต้น โดยยอดขายจากต่างประเทศในปีก่อนอยู่ที่ 3,374 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.7% จากปีก่อนหน้าที่ทำได้ 2,705 ล้านบาท และด้วยการเร่งการทำการตลาด การปรับพอร์ตสินค้าใหม่ให้มีความเหมาะสมกับช่องทางการจำหน่าย และเพิ่มความหลากหลายของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ทำให้คาดว่าในปีนี้ยอดขายจากต่างประเทศยังมีแนวโน้มการขยายตัวที่เพิ่มขึ้น

พร้อมกันนี้ บริษัทยังวางแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ยังคงมุ่งเน้นในเรื่องของสุขภาพใหม่ๆ ออกมาเพิ่มเติม เช่น สาหร่ายรสชาติใหม่หรือสาหร่ายประเภทอื่นๆ มากขึ้น โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักๆ ยังคงเป้นกลุ่มวัยรุ่น กลุ่มวัยทำงานขั้นต้น และกลุ่มที่มีอายุ

อย่างไรก็ตาม แผนการดำเนินงานในปี 67 บริษัทัยงมุ่งเน้นนโยบาย “3GO” มาอย่างต่อเนื่อง ทั้ง "GO Firm" ดูแลตั้งแต่การจัดซื้อวัตถุดิบ ประสิทธิภาพการผลิต การจัดจำหน่ายและความเหมาะสมในแต่ละช่องทางจำหน่าย โดยเฉพาะ “GO Broad” หรือการขยายฐานธุรกิจให้กว้างขึ้นและมีคุณค่า ผ่านการพัฒนาสินค้านวัตกรรมกลุ่มใหม่ๆ (Innovation Food) เข้าสู่ตลาด รวมถึงเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้ามากขึ้น และ “Go Global” การขยายตลาดในต่างประเทศที่มีศักยภาพ เพื่อผลักดันยอดขายให้เติบโตต่อเนื่อง ช่วยขยายฐานลูกค้าทุกเจเนอเรชัน