ดาวโจนส์ปิดบวก 253.58 จุด รับแรงช้อนซื้อหุ้นที่ร่วงหนัก

22 เม.ย. 2567 | 23:51 น.
อัปเดตล่าสุด :22 เม.ย. 2567 | 23:57 น.

ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวกในวันจันทร์ (22 เม.ย.) แรงหนุนจากการที่นักลงทุนช้อนซื้อหุ้นหลังจากตลาดดิ่งลงอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตารายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ รวมทั้งจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดที่ 38,239.98 จุด เพิ่มขึ้น 253.58 จุด หรือ +0.67%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,010.60 จุด เพิ่มขึ้น 43.37 จุด หรือ +0.87% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,451.31 จุด เพิ่มขึ้น 169.30 จุด หรือ +1.11%

หุ้นทั้ง 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มการเงิน

ลามาร์ วิลเลอร์ ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอของบริษัท Villere & Co ในรัฐนิวออร์ลีนส์กล่าวว่า นักลงทุนเข้าช้อนซื้อหุ้นที่ร่วงลงอย่างหนักในช่วงก่อนหน้านี้ พร้อมกับจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนหลายรายในสัปดาห์นี้ ในขณะเดียวกันนักลงทุนยังคงวิตกกังวลว่าเฟดอาจจะยังไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในระยะเวลาอันใกล้นี้

ข้อมูลจากแอลเอสอีจี (LSEG) ระบุว่า นักลงทุนในตลาดการเงินคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งสิ้นเพียง 0.41% ในปีนี้ ลดลงจากที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยโดยรวม 1.50% ในปีนี้

ทั้งนี้ นักลงทุนรอดูผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีที่มีมาร์เก็ตแคปสูงในกลุ่ม "Magnificent Seven" ในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงเทสลา, เมตา แพลตฟอร์มส์, อัลฟาเบท และไมโครซอฟท์

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการเปิดเผยตัวเลข GDP ประจำไตรมาส 1/2567 ของสหรัฐในวันพฤหัสบดี (25 เม.ย.) และดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ในวันศุกร์นี้ (26 เม.ย.) โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ เนื่องจากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนี PCE ทั่วไป (Headline PCE) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะเพิ่มขึ้น 2.6% ในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบรายปี หลังจากที่เพิ่มขึ้น 2.5% ในเดือนก.พ. และคาดว่าดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะเพิ่มขึ้น 2.6% ในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบรายปี หลังจากที่เพิ่มขึ้น 2.8% ในเดือนก.พ.

หุ้นอินวิเดีย ซึ่งเป็นบริษัทผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐ ดีดตัวขึ้น 4.4% โดยราคาหุ้นฟื้นตัวหลังจากดิ่งลงเกือบ 14% ในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่หุ้นอัลฟาเบท ปรับตัวขึ้น 1.4% หุ้นอะเมซอน พุ่งขึ้น 1.5% หุ้นแอปเปิ้ล บวก 0.5%

หุ้นเทสลา ร่วงลง 3.4% หลังจากบริษัทปรับลดราคารถยนต์ไฟฟ้าในตลาดสำคัญหลายแห่ง ซึ่งรวมถึงจีน เยอรมนี และสหรัฐ นอกจากนี้ ราคาหุ้นเทสลายังถูกกระทบจากการที่บริษัทเรียกคืนรถกะบะไฟฟ้า (Cybertruck) จำนวน 3,878 คันในสหรัฐ เนื่องจากมีปัญหาคันเร่งค้าง ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ