นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการ บริษัท ทรีนีตี้ วัฒนา จํากัด (มหาชน) หรือ TNITY เปิดเผยว่า จากการที่ "นายพิชัย ชุณหวชิร" ขึ้นมารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มองเป็นสัญญาณที่ดี เนื่องจากในอดีต "นายพิชัย" เคยดำรงตำแหน่งสำคัญในบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่มากก่อน อีกข้อดีคือการที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนั่งประจำตำแหน่งแบบ Full time จะทำให้การดูแลในส่วนของกระทรวงการคลังต่อจากนี้จะทำได้อย่างเต็มและเต็มประสิทธภาพเพิ่มมากขึ้น
โดยความสามารถของนายพิชัยเป็นที่ประจักษ์อยู่แล้ว เป็นผู้มีส่วนหลักที่นำ PTT เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยก่อนที่จะผงาดเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ต้นๆ ในตลาดขณะนี้ ประเด็นดังกล่าวทำให้สะท้อนถึงว่านายพิชัยมีความเข้าใจถึงกลไกของตลาดทุนเป็นอย่างดี มีความเข้าใจต่อการลงทุน ย่อมรู้ว่าจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศจะต้องไปในทิศทางใด โดยอาจได้เห็นการนำเอากลไกของตลาดทุนเข้ามามีส่วนช่วยเหลือและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอีกทางหนึ่ง
ในระยะสั้นที่อาจได้เห็นต่อจากนี้ไป คงเป็นเรื่องของการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของปีก่อน (2566) เพราะเดือนตุลาคม 2567 จะเริ่มต้นใช้งบประมาณปีใหม่แล้ว เชื่อว่าสภาพเศรษฐกิจและเม็ดเงินในระบบต่อจากนี้ไปจะมีทิศทางที่ดีขึ้น อีกทั้งในไตรมาส 4/2567 จะมีการแจกดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งมองว่าเมื่อมี Money multi-supplier เป็นผลบวกต่อตลาดทุน ช่วยเพิ่ม Market cap และช่วยหนุนให้ consumption ในประเทศฟื้นตัวดีขึ้น ต้องยอมรับว่าการเติบโตในด้านการส่งออกของไทยอาจไปต่อไม่ไหวแล้ว
ขณะที่ความหวังว่าจะพึ่งพิงกับการท่องเที่ยวไทยนั้น มองว่าในตอนนี้ก็ไปจนเกือบสุดทางแล้ว แม้ว่าในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2567 ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามายังไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้มองว่าเป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติแตะระดับ 35 ล้านคน มีความเป็นไปได้สูง แต่ต้องยอมรับว่ายอดการใช่จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวกลับลดลงเมื่อเทียบกับในอดีต เพราะเศรษฐกิจทั่วโลกที่ไม่ได้ฟื้นตัวดีนัก
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการด้านกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด กล่าวว่า จากประเด็นที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่นั่งควบตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มามากกว่า 7 เดือน ได้ลุกออกจากเก้าอี้ และให้ "นายพิชัย ชุณหวชิร" มานั่งในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แทนนั้น มองว่าเป็นเรื่องที่ดีต่อเศรษฐกิจและตลาดทุนไทย ทำให้ตลาดทุนไทยดูมีความหวังว่าจากนี้ไปจะมีสิ่งดีๆ ใหม่เกิดขึ้น
เพราะจากการที่ "นายพิชัย ชุณหวชิร" ได้เข้ามารับตำแหน่งคณะกรรมการ (บอร์ด) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในช่วงก่อนหน้านี้ จะเห็นว่า Action ของตลาดหลักทรัพย์ต่อมาตรการกำกับและดูแลโดยเฉพาะในเรื่องของธุรกรรมการขายชอร์ต (Short Selling) และการปรับปรุงการกำกับดูแลการใช้คอมพิวเตอร์ส่งคำสั่งซื้อขาย (Program Trading) รวมทั้งการส่งคำสั่งด้วยความเร็วสูง (High Frequency Trading หรือ HFT) มีค่อนข้างมา มีมากขึ้นและเห็นผลชัดเจน ซึ่งก่อนหน้านี้เรื่องเหล่านี้เคยถูกเพิงเฉย
จากนี้การเงินและการคลังจะมีความเป็นระบบระเบียบมากขึ้น ในส่วนของมาตรการทางการเงินและการคลังนั้น คงต้องรอดูกันต่อไปว่าหลังจากนี้จะทำได้มากน้อยแค่ไหน เพราะต้องยอมรับว่ากระทรวงอื่นๆ ที่มีส่วนขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักของไทย ที่นอกเหนือจากการเงินและการคลัง มีรัฐมนตรีที่มาจากพรรคอื่นๆ นอกเหนือจากพรรคเพื่อไทยดูแลอยู่ ดังนั้นแล้วอาจเกิดความล่าช้าในการดำเนินงานให้เห็น การจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินไปต่อได้ต้องไปทั้ง "องคาพยพ" ไม่ใช่เพียงส่วนใดส่วนหนึ่ง
ในระยะสั้นคงเห็นแบบการประคับประคองตัวไปมากกว่า เพราะต้องยอมรับว่างบส่วนกลางที่มีในปัจจุบันอาจไม่เพียงพอจะขับเคลื่อนโครงการใหม่ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากต้องสำรองไว้สำหรับดิจิทัลวอลเล็ต ทำให้การพลิกโฉมเศรษฐกิจไทยเลยในทันทีคงเป็นไปไม่ได้ อย่างไรก็ดี การแต่งตั้งให้ "นายพิชัย ชุณหวชิร" มานั่งตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังโดยเฉพาะ ย่อมต้องดีกว่าการนั่งควบต่ำแหน่งของนายกฯ แบบเดิม เพราะทำให้ไม่สามารถดูแลได้อย่างจริงจังเท่าที่ควร
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การที่นายพิชัย ชุณหวชิร ขึ้นมานั่งตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่เข้ามารับผิดชอบ ทำให้ตลาดทุนไทยมีมุมมองเชิงบวกเพราะเป็นผู้ที่มีความรู้และความเข้าใจในตลาดทุนไทย มีเวลาในการทำการบ้านมาระยะหนึ่งแล้วทำให้เชื่อว่านาย "พิชัย" รู้การจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยจากนี้จะเดินหน้าไปในทิศทางใด
อีกทั้งที่ผ่านมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะมีความเชี่ยวชาญที่แตกต่างกัน โดยนายพิชัยมีความเชี่ยวชาญในเรื่องของตลาดทุนโดยตรง และมีความเข้าใจนักลงทุน ทำให้คาดว่าจะได้เห็นการนำเอากลไกของตลาดทุนมาเป็นอีกแรงขับเคลื่อนและช่วยเหลือเศรษฐกิจไทยต่อจากนี้ไป สำหรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังปี 2567 มองว่าไม่มีอะไรน่าห่วง เพราะว่าในไตรมาส 3/2567 มีเรื่องของการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 ในไตรมาส 4/2567 มีเรื่องของดิจิทัลวอลเล็ต
ส่วนโครงการขนาดใหญ่อื่นๆ ในปี 2568 มองว่าประเทศไทยอาจใช้กลไกจากการคลังเป็นโครงสร้างเศรษฐกิจในประเทศ เชื่อว่าจะได้เห็นการดึงการลงทุนต่างชาติเข้ามาในไทยมากขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มที่มีเทคโนโลยีระดับสูง เพราะต้องยอมรับว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคมีการเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว การลงทุนที่เคยบูมมากสุดของไทย คือ ยุคที่เกิดการลงทุนของกลุ่มยานยนต์และฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ซึ่งมันนานมาแล้วนอกจากนั้นก็ยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรใหม่ โดยเป็นหน้าที่ของการคลังที่จะเดินสายเป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่างต่างประเทศและการลงทุนในไทย