ดาวโจนส์ปิดบวก 31.99 จุด บวกติดต่อกันวันที่ห้า เก็งเฟดลดดอกเบี้ย

07 พ.ค. 2567 | 23:50 น.

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 5 ในวันอังคาร (7 พ.ค.) ตลาดยังคงได้ปัจจัยหนุนการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ อย่างไรก็ดี การร่วงลงของหุ้นวอลท์ ดิสนีย์ ส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์ลดช่วงบวกในระหว่างวัน

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 38,884.26 จุด เพิ่มขึ้น 31.99 จุด หรือ +0.08%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,187.70 จุด เพิ่มขึ้น 6.96 จุด หรือ +0.13% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 16,332.56 จุด ลดลง 16.69 จุด หรือ -0.10%

ดัชนีดาวโจนส์ทำสถิติปิดในแดนบวกติดต่อกันยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2566 ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวกติดต่อกันยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2567 โดยบรรยากาศการซื้อขายยังคงได้ปัจจัยบวกจากการคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 175,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 238,000 ตำแหน่ง

 

นักลงทุนยังคงเชื่อว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานที่ต่ำกว่าคาด แม้ว่านายนีล แคชแครี ประธานเฟดสาขามินนีแอโพลิสได้แสดงความเห็นล่าสุดว่า เฟดอาจจำเป็นต้องตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงต่อไปในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ เนื่องจากเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงและตลาดที่อยู่อาศัยมีความแข็งแกร่ง

ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้แรงหนุนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีที่ยังคงเคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ 4.5% โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 4.465% เมื่อคืนนี้

อย่างไรก็ดี ดัชนีดาวโจนส์ลดช่วงบวก หลังจากหุ้นดิสนีย์ ร่วงลง 9.5% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงในวันเดียวที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2565 หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้อยู่ที่ 2.208 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2 ของปีงบการเงิน 2567 ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.211 หมื่นล้านดอลลาร์

ส่วนดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้นในช่วงแรก ก่อนที่จะอ่อนแรงลงในช่วงบ่ายและปิดตลาดขยับลงเล็กน้อย หลังจากที่ปิดในแดนบวกติดต่อกัน 3 วันทำการก่อนหน้านี้
 

การ์เร็ตต์ เมลสัน นักวิเคราะห์จากบริษัท Natixis Investment Manager Solutions คาดการณ์ว่า ตลาดจะเคลื่อนไหวในรูปแบบดังกล่าวจนกว่าจะมีการเปิดเผยข้อมูลที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์หน้า ซึ่งได้แก่ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่มีกำหนดรายงานในวันที่ 14 พ.ค. และดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในวันที่ 15 พ.ค.

หุ้น 8 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มวัสดุและกลุ่มสาธารณูปโภค พุ่งขึ้น 1.17% และ 1.12% ตามลำดับ ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยและกลุ่มเทคโนโลยี ปรับตัวลง 0.56% และ 0.53% ตามลำดับ

หุ้นอินวิเดีย ร่วงลง 1.7% หลังจากหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า บริษัทแอปเปิ้ล อิงค์ กำลังพัฒนาชิปขึ้นเอง เพื่อใช้รันซอฟต์แวร์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในศูนย์ข้อมูล ((Data Center)

หุ้นแอปเปิ้ล บวก 0.4% หลังจากแอปเปิ้ลเปิดตัวชิปรุ่นใหม่ที่ชื่อว่า M4 แต่ทางบริษัทจะนำชิปดังกล่าวมาใช้ในแท็บเล็ต iPad Pro แทนการใช้ในผลิตภัณฑ์แล็บท็อป

หุ้นเทสลา ร่วงลง 3.8% หลังจากมีรายงานว่าเทสลามียอดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในจีนจำนวน 62,167 คันในเดือนเม.ย. ลดลง 18% เมื่อเทียบเป็นรายปี