MAGURO เตรียมระดมทุนเข้าตลาดหุ้น mai เดือนมิ.ย.67

20 พ.ค. 2567 | 06:56 น.
อัปเดตล่าสุด :20 พ.ค. 2567 | 07:25 น.

MAGURO แต่งตัวเตรียมพร้อมระดมทุนเข้าตลาดหุ้น mai ไม่เกินเดือนมิ.ย.67 นี้ ยิ้มโรดโชว์กระแสตอบรับนักลงทุนล้นหลาม เผยกองทุนรุมจีบ อวดรายได้-กำไร 3 ปี โตดีต่อเนื่อง

นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ผู้จัดการการจัดจำหน่าย และรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO เปิดเผยว่า คาดว่า MAGURO จะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ได้ในช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2567 นี้ หรือภายในไตรมาสที่ 2 ปีนี้อย่างแน่นอน

 

นับตั้งแต่เริ่มเปิดตัวแผนการเตรียม IPO เกิดกระแสนักลงทุนให้ความสนใจในหุ้น IPO ของ MAGURO เป็นอย่างมาก เนื่องจาก MAGURO มีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง จากการที่ร้านอาหารทั้ง 3 แบรนด์ มีชื่อเสียงที่ดี และได้รับการยอมรับอย่างสูงจากกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย และสามารถดึงดูดลูกค้าได้ด้วยชื่อเสียงของแบรนด์เอง ตลอดจนกลุ่มลูกค้าประจำที่เป็นสมาชิก (Membership) ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องเพิ่มจาก 69,037 รายในปี 2565 เป็น145,615 ราย ในปี 2566 โดยสมาชิกดังกล่าวสร้างรายได้ให้กับบริษัท คิดเป็นกว่า 54.36% ของรายได้ในปี 2566

ประกอบกับบริษัทยังมีการเติบโตที่สูง โดยมีรายได้ที่เติบโตสูงถึง 57.06% ในปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลทั้งจากการเปิดสาขาใหม่ และการเติบโตรายได้ของสาขาเดิม อีกทั้งยังสามารถเพิ่มความสามารถในการทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทเพิ่มขึ้นจากที่ระดับ 41.91% ในปี 2565 เป็น 45.17%ในปี 2566 และส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิของบริษัทเพิ่มจาก 4.71% ในปี 2565 และขยายตัวเป็น 6.93% ในปี 2566 ส่งผลให้กำไรสุทธิมีอัตราการเติบโตที่ดีมาตลอดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และทางบริษัทมีแผนที่จะขยายสาขาจำนวนมาก เพื่อสร้างการเติบโตให้แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง

 

สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2564-2566) มีอัตราการเติบโตที่ค่อนข้างสูงและดีมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2564 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ระดับ 387.61 ล้านบาท มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 9.57 ล้านบาท ถัดมาในปี 2565 มีรายได้รวมอยู่ที่ระดับ 665.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71.78% มีกำไรสุทธิ 31.36 ล้านบาท เติบโต227.69% ในขณะที่ปี 2566 มีรายได้รวมอยู่ที่ระดับ 1,045.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.06% และมีกำไร 72.48 ล้านบาท เติบโตสูงถึง 131.12% จากปีก่อนหน้า

 

ปัจจุบัน MAGURO มีทุนจดทะเบียน 63.00 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 126,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท โดยเป็นทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 52.27 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 104,539,800 หุ้น และจะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 34,060,200 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ27.03 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้

นายเอกกฤษ์ แสงเสรีดำรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO ผู้นำธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นและเกาหลีระดับพรีเมี่ยม-แมส กล่าวว่า จากการที่บริษัทได้มีการให้ข้อมูลกับนักลงทุน ได้กระแสการตอบรับที่ดีเกินคาด มีผู้ให้ความสนใจเข้ามาร่วมฟังแนวทางในการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา การปรับตัวฝ่าวิกฤติโรคระบาด และแผนการดำเนินงานในอนาคต เป็นจำนวนมาก

 

ส่วนประเด็นที่กองทุนระดับโลกอย่าง "กองทุนลอมบาร์ด เอเชีย" ได้เข้าลงทุนกับบริษัทในช่วงก่อนหน้านี้ โดยเข้าถือหุ้นผ่านชื่อ Holistic Impact PTE limited โดยมีโครงสร้างผู้ถือหุ้นก่อน IPO ที่ 28.34% และคาดว่าหลัง IPO สัดส่วนการถือหุ้นจะอยู่ที่ 13.52% บริษัทมองว่าการที่่มีกองทุนติดต่อเข้ามา เนื่องจากเห็นศักยภาพการเติบโตของบริษัท เเม้จะเผชิญกับโรคระบาดโควิด-19 เเต่บริษัทสามารถทำผลงานให้สามารถเป็นบวกได้ ซึ่งได้พูดคุยกันเป็นระยะเวลาหลายปีก่อนจะได้เข้าสรุป และหลังเข้าตลาดหลักทรัพย์กองทุนยังมีสถานะถือครองหุ้น MAGURO เช่นเดิม  

 

ทั้งนี้ ธุรกิจร้านอาหารของบริษัท มีร้านอาหารภายในเครือทั้งหมด 3 แบรนด์ ได้แก่

 

1. ร้านซูชิและอาหารญี่ปุ่นระดับพรีเมี่ยม “MAGURO” (มากุโระ) จำนวน 14 สาขา

 

2. ร้านปิ้งย่างเกาหลีพรีเมียม “SSAMTHING TOGETHER” (ซัมติง ทูเก็ทเตอร์) จำนวน 6 สาขา

 

3. ร้านอาหารชาบูและสุกี้ยากี้สไตล์ญี่ปุ่นแบบต้นตำหรับ (Authentic Japanese Sukiyaki and Shabu Shabu) “HITORI SHABU” (ฮิโตริ ชาบู) จำนวน 6 สาขา

 

ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทมีจำนวนสาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวม 3 แบรนด์ จำนวน 27 สาขา และมีแผนที่จะเปิดสาขาใหม่ในปี 2567 ไม่น้อยกว่า 11 สาขา เพื่อสร้างการเติบโตอย่างสูงและต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจรับจัดเลี้ยงนอกสถานที่ “MAGURO CATERING” ในรูปแบบของ Event Catering และ Office Lunchbox และมีบริการจัดส่งอาหารโดยตรง ภายใต้ชื่อ “MAGURO GO” แพลตฟอร์มให้บริการอาหารญี่ปุ่นเดลิเวอรี่คุณภาพระดับพรีเมียมที่จัดส่งถึงที่ ในราคาและคุณภาพเทียบเท่าที่ร้าน 

 

ต้องยอมรับว่าธุรกิจร้านอาหารเป็นธุรกิจที่ท้าทาย มีการแข่งขันค่อนข้างสูง และมีผู้เล่นรายใหม่เข้าสู่ตลาดทุกๆ ปี ผู้บริโภคมีทางเลือกจำนวนมาก อีกทั้งธุรกิจเดลิเวอรี่อาหารยังเติบโตสูงในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ บริษัทได้ใช้ 4 กลยุทธ์หลัก ที่เป็นเสมือนเสาหลักในการดำเนินกิจการ และสามารถมีรายได้รวมให้เติบโตสูงเฉลี่ยปีละ 64.26% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2564-2566) ประกอบด้วย

 

1. การขยายสาขาและช่องทางการให้บริการเชิงกลยุทธ์ (Strategic Channel Expansion) โดยมีการจัดทำข้อมูลวิเคราะห์โครงการสาขาที่จะเปิดใหม่ เพื่อพิจารณาผลตอบแทนและความคุ้มค่าในการลงทุน บริษัทจะจัดทำ Feasibility Study ก่อนตัดสินใจเปิดสาขาใหม่ เพื่อโอกาสที่จะทำให้การลงทุนทุกครั้งประสบความสำเร็จ ซึ่งบริษัทเตรียมการขยายสาขาจากปัจจุบัน สู่โลเคชั่นใหม่ทั้งในเมือง และ ย่านชานเมืองสำคัญที่มีกำลังซื้อสูง โดยใช้ศักยภาพของแบรนด์ของบริษัทในการดึงดูดลูกค้าด้วยชื่อเสียงของแบรนด์เอง ที่จะช่วยการลดการพึ่งพาจำนวนลูกค้าจากห้างสรรพสินค้าใหญ่ และเพิ่มทางเลือกของที่ตั้งในการขยายสาขา

 

2.การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามปรัชญา Give More (Research and Development with Give More Philosophy) บริษัทมุ่งเน้นนวัตกรรมและการสร้างสรรค์ ร้านอาหารรูปแบบใหม่ รวมถึง มีการพัฒนาเมนูอย่างต่อเนื่องให้หลากหลาย น่าตื่นเต้น ทันสมัย บริษัทมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาแบรนด์ใหม่ สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง การมอบความคุ้มค่าสูงสุดให้ลูกค้าอย่างจริงใจด้วยคุณภาพวัตถุดิบนำเข้าระดับพรีเมียมในปริมาณที่มากเพื่อสร้างความประทับใจ

 

3.การมอบประสบการณ์ให้ลูกค้าที่เป็นเอกลักษณ์ (Distinctive Customer Experience) และน่าประทับใจทั้งคุณภาพอาหาร การบริการที่รู้ใจและใส่ใจแก่ลูกค้า บรรยากาศที่ดี และการนำระบบ CRM ในการรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมลูกค้ามาวิเคราะห์เพื่อนำเสนอโปรโมชั่นและกิจกรรมส่งเสริมการขายให้แก่ลูกค้าได้อย่างตรงจุด 

 

4. การหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เพื่อการเติบโต (Diversification for Growth) ด้วยการเปิดสาขาใหม่ และสร้างแบรนด์ร้านอาหารใหม่และผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยการศึกษาความต้องการของลูกค้าเชิงลึก จากฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งจากจำนวนสมาชิกที่อยู่ในระบบ (Membership Program) มากกว่า 145,000 ราย

 

 

 

 

นายจิรยง อนุมานราชธน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจย์ แคปปิตอล แอดไวเซอรี จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินกล่าวว่า ในธุรกิจร้านอาหารที่มีการแข่งขันค่อนข้างสูง MAGURO เป็น 1 ในหนึ่งในผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารที่มีประสบการณ์และมีแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จมาตลอด โดย MAGURO สามารถสร้างเครือข่ายร้านอาหารที่แข็งแรงโดยมี 3 แบรนด์ ร้านอาหาร ใน 3 รูปแบบ ทั้ง ซูชิและอาหารญี่ปุ่น, ปิ้งย่างเกาหลี และชาบูสุกี้ยากี้สไตล์ญี่ปุ่น

 

ด้วยคุณภาพของอาหารระดับพรีเมียมในราคาที่คุ้มค่า ทำให้ MAGURO มีฐานลูกค้าที่มั่นคงและสามารถขยายฐานลูกค้า ไปยังลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับการขยายสาขาของแต่ละแบรนด์อย่างต่อเนื่องในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งมีศักยภาพการเติบโตสูง ถึงแม้ว่าธุรกิจร้านอาหารจะมีการแข่งขันที่สูง แต่ MAGURO ยังสามารถเติบโตอย่างต่อเนื่อง

 

พร้อมกันนี้ MAGURO ยังมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง ในปี 2566 มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง 45.17% และปลอดหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย และมีอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) สูงถึง 26.52% ซึ่งการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ mai จะช่วยให้บริษัทขยายฐานทุน สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น