โบรกชู MTC SAWAD TIDLOR กำไรสุทธิไตรมาส 2/67 สูงกว่า 3.76 พันล้าน

31 พ.ค. 2567 | 10:17 น.
อัพเดตล่าสุด :31 พ.ค. 2567 | 10:23 น.

กูรูคาดกำไรสุทธิรวมกลุ่มไมโครไฟแนนซ์ MTC SAWAD TIDLOR ในไตรมาส 2/67 โตดีกว่าไตรมาสแรกที่ 3.76 พันล้าน คงน้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” เลือก MTC และ TIDLOR เป็นหุ้นเด่น

บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า กลุ่มไมโครไฟแนนซ์ 3 แห่ง MTC, SAWAD และ TIDLOR มีกำไรสุทธิรวมตามคาดที่ 3.76 พันล้านบาท เติบโต 16.4% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และเพิ่มขึ้น 6.7% จากไตรมาสก่อน) ในไตรมาส 1/2567 โดยการเติบโตเมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน หนุนจากการขยายตัวของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลัอกับการขยายสินเชื่อ และรายได้ค่าธรรมเนียมจากค่าคอมมิชชั่นการเป็นนายหน้าขายประกัน ขณะที่กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนสนับสนุนจาก 1. รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ และ 2. ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ฯ ลดลง 

โดย MTC มีกำไรสุทธิสูงสุดที่ 1.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.8% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และเติบโต 2.8% จากไตรมาสก่อน) เช่นเดียวกับ TIDLOR ที่กำไรเติบโตทั้ง เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และ จากไตรมาสก่อน ที่ 1.1 พันล้านบาท เติบโต 15.6% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และเพิ่มขึ้น 22.5% จากไตรมาสก่อน ขณะที่ SAWAD มีกำไรที่ 1.26 พันล้านบาท เติบโต 5.1% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน แต่ลดลง 0.4% จากไตรมาสก่อน 

สินเชื่อรวมเติบโตต่ำกว่าคาดที่ 2.4% จากไตรมาสก่อน ในไตรมาส 1/2567 เพิ่มขึ้น 26.3% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน ชะลอตัวจากโต 4.4% จากไตรมาสก่อน ในไตรมาส 4/2566 เพราะบริษัทระมัดระวังปล่อยสินเชื่อใหม่ เพราะกังวลคุณภาพสินเชื่อจากเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า และมาตรการเข้มงวดของ ธปท. เช่น การให้สินเชื่อด้วยความรับผิดชอบ โดย MTC สินเชื่อขยายตัวโดดเด่นเด่น 3% จากไตรมาสก่อน จากการขยายตัวในธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนเป็นหลัก 

หนี้เสียรวมปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง 5% จากไตรมาสก่อน ในไตรมาส 1/2567 เพิ่มขึ้น 36% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน MTC มีคุณภาพสินเชื่อดีกว่าคู่แข่ง โดย NPL ratio ของบริษัทลดลง และ Coverage ratio เพิ่มขึ้น ขณะที่ทั้ง SAWAD และ TIDLOR รายงาน NPL ratio เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี TIDLOR มี NPL ratio ต่ำที่ 1.6% และ Coverage ratio ยังคงสูงสุดที่ 264.1%

หลังจากเผชิญปัญหาคุณภาพสินเชื่อในปี 2565-2566 สถานการณ์คลี่คลายลงจากการที่หนี้เสียเพิ่มชะลอลงตั้งแต่ในครึ่งหลังปี 2566 ทำให้สำรองหนี้ฯ ในปี 2567 เพิ่มขึ้นช้าลง และผลขาดทุนจากรถยึดลดลงจากความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อใหม่ เช่น การปรับลด Loan to value ทางฝ่ายคาดว่ากำไรสุทธิรวมปี 2567 จะขยายตัวสูงขึ้นที่ 17.4% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน (2566 ที่ +3.7%) จากการขยายตัวของสินเชื่อ และรายได้ค่าธรรมเนียมขยายตัวจากธุรกิจนายหน้าประกัน

โดยทั้ง 3 บริษัทจะมีกำไรสุทธิเติบโต และคาด MTC กำไรสุทธิจะขยายตัวโดดเด่น 19.2% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน เทียบกับ 19% ของ TIDLOR และ 14.3% ของ SAWAD ทางฝ่ายคาดว่าผลกำไรรวมในไตรมาส 2/2567 จะเติบโตสูง เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และเพิ่มขึ้นปานกลางจากไตรมาสก่อน เนื่องจาก 1. รายได้ดอกเบี้ยสุทธิขยายตัวตามสินเชื่อ 2. รายได้ค่าธรรมเนียมขยายตัว และ 3. สำรองหนี้ฯ เพิ่มขึ้นอัตราชะลอตัว

จากปัจจัยที่กล่าวมา ทำให้ทางฝ่ายคงน้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” เพราะแม้ความสามารถการทำกำไรปรับตัวดีขึ้น แต่ยังต้องเผชิญความท้าทายจากคุณภาพสินเชื่อเปราะบาง NIM ปรับลดลง และความเข้มงวดของมาตรการภาครัฐกดดันการดำเนินธุรกิจ โดยทางฝ่ายชอบ MTC ("ซื้อ" มูลค่าพื้นฐาน 53.00 บาท) เพราะกำไรสุทธิฟื้นตัวแข็งแกร่งในปี 2567 และควบคุมคุณภาพสินเชื่อได้ดีที่สุด และ TIDLOR ("ซื้อ" มูลค่าพื้นฐาน 27.00 บาท) เพราะ 1. งบดุลแข็งแกร่ง 2. กำไรสุทธิปี 2567 ขยายตัวสูง และ 3. Valuation น่าสนใจ