นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ ประเมินสถานการณ์การเมืองในประเทศไม่นิ่งจาก 4 คดีใหญ่ที่เข้ามาขมวดปมพร้อมกันในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้ ว่า "คดีนายกฯ เศรษฐาขาดคุณสมบัติหรือไม่" เป็นคดีที่มีน้ำหนักกดดันตลาดมากที่สุด เพราะในกรณีแย่ที่คำวินิจัยฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้นายกฯ เศรษฐาขาดคุณสมบัติ คาดจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตัวนายกฯ และคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ ต้องเสียเวลาไม่น้อยกว่า 2 เดือนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ นอกจากจะทำให้การเบิกจ่ายงบฯ ปี 2567 และการจัดทำงบฯ ปี 2568 อาจมีความล่าช้าแล้ว ยังมีความไม่แน่นอนของนโยบายของรัฐบาลใหม่อีกด้วย จะกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโดยตรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ชี้ชะตาของการเมืองไทย วันที่ 18 มิ.ย. 67 จาก 4 คดีที่จะดำเนินการ
ส่วนคดียุบพรรคก้าวไกล เข้าข่ายล้มล้างการปกครองหรือไม่ คดีอดีตนายกฯ ทักษิณ ม.112 และคดีการเลือกตั้ง ส.ว.ครั้งนี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ในมุมมองของทิสโก้ ไม่คาดว่าทั้ง 3 คดีหลัง จะมีน้ำหนักกดดันตลาดมากนัก เนื่องจากคดียุบพรรคก้าวไกล แม้จะมีโทษยุบพรรคและตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค แต่ ส.ส.สามารถย้ายสังกัดไปอยู่พรรคใหม่ ซึ่งเราเชื่อว่าพรรคก้าวไกลเตรียมรับมือไว้อยู่แล้ว และตอนยุบพรรคอนาคตใหม่ก็ไม่ได้เกิดความวุ่นวาย ขณะที่คดีอดีตนายกฯ ทักษิณ ม.112 ยังต้องใช้เวลาพิสูจน์ข้อเท็จจริงอีกนาน ตามกระบวนการยุติธรรมถึง 3 ศาล และคดีการเลือกตั้ง ส.ว.จะขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ส.ว.ปัจจุบันก็ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมี ส.ว.ชุดใหม่
อย่างไรก็ดี ด้วยความไม่แน่นอนว่าคำวินิจฉัยจะออกมาเมื่อใด และจะมีคำวินิจฉัยอย่างไร คาดจะกดดันตลาดต่อไป กระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติ หากคำวินิจฉัยออกมาเป็นบวกต่อนายกฯ จะช่วยปลดล็อกความกังวลปัจจัยทางการเมืองที่เคยกดดันภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นช่วงก่อนหน้านี้ ทำให้การทำงานของรัฐบาลกลับมาเดินหน้าได้เต็มที่อีกครั้ง เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยโดยรวม
แกะรอยผลกระทบต่อ SET Index จากการเปลี่ยนตัวนายกฯ ในอดีต
บล.ทิสโก้ มองความวุ่นวายทางการเมืองในปัจจุบันมีลักษณะคล้ายคลึงกับปี 2551 (ปี 2008) ซึ่งมีทั้งการเดินทางกลับไทยของอดีตนายกฯ ทักษิณ, การเลือกตั้ง ส.ว.และการที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยนายกฯ สมัครในช่วงเวลานั้นขาดคุณสมบัติพ้นออกตำแหน่ง และการสั่งยุบ 3 พรรคการเมือง แต่ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ เผชิญวิกฤติซับไพรม์ ทำให้ส่วนหนึ่งตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงแรงตามทิศทางของตลาดหุ้นโลก ดังนั้นหากมองในเชิงเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นโลก โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังที่มีปัญหาการเมืองเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ SET Index ในช่วงเวลานั้นเคลื่อนไหวในทิศทางแย่กว่าหุ้นโลกราว 5%
ดังนั้นเมื่ออิงกับเหตุการณ์ในปัจจุบันนับตั้งแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง 40 ส.ว.วินิจฉัยคุณสมบัตินายกฯ เศรษฐาเมื่อวันที่ 23 พ.ค.ที่ผ่านมา เราประเมินระดับ SET Index ที่ระดับ 1300 หรือต่ำกว่าเล็กน้อย น่าจะซึมซับความไม่แน่นอนทางการเมืองไปมากแล้ว
หลังจากที่ SET Index ปรับตัวลงหลุดโลว์เดิมที่ 1330 ในช่วงต้นเดือน มิ.ย. สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้น้อย เราแนะนำ Wait & See เป็นกลยุทธ์หลักในระยะสั้น รอประเมินสถานการณ์การเมืองในประเทศให้มีความชัดเจนเกิดขึ้นก่อน อย่างไรก็ดี สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง อยากเทรดดิ้งระยะสั้นในช่วงตลาดมีความไม่แน่นอนทางการเมืองสูง ควรเน้นการตั้งรับ-เด้งขึ้นขายล็อกกำไร
4 ธีมหุ้นเด่น มีโอกาสแข็งแกร่งกว่าตลาด
สำหรับนักลงทุนระยะกลางที่คาดหวังการฟื้นตัวขึ้นของ SET Index ในช่วงครึ่งปีหลัง เราประเมิน Downside ของ SET Index ไม่น่าหนีจากระดับ 1300 มากนัก ดังนั้นเราแนะนำหาจังหวะสะสมที่เข้าใกล้บริเวณดังกล่าว หุ้นเด่น (Top Picks) แนะนำ TTB, KKP, CPALL, BJC, BDMS, GPSC, ERW, AAV, SISB และ MC