"สุธี" ออกโรงชี้แจง KKC หยุดกิจการเป็นเพียงบางส่วนงาน ไม่ใช่ ปิดกิจการ

22 ก.ค. 2567 | 11:58 น.
อัปเดตล่าสุด :22 ก.ค. 2567 | 12:03 น.

"สุธี สิมะกุลธร" ออกโรงชี้แจงการหยุดกิจการ KKC เป็นเพียงบางเฉพาะส่วนงาน ไม่ใช่ "ปิดกิจการ" และหน่วยงานอื่นที่มีเนื้องานยังให้พนังงานปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ ด้านตลาดหลักทรัพย์ฯ ติดเครื่องหมาย NC กำกับ เตือนนักลงทุน

วันที่ 19 กรกฎาคม 2567 นายสุธี สิมะกุลธร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กุลธรเคอร์บี้ จำกัด (มหาชน) หรือ KKC ได้ออกหนังสือชี้แจงต่อ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่อง การชี้แจงเพิ่มเติมการหยุดกิจการชั่วคราว

โดยระบุว่า ตามหลังสือที่อ้างถึง บริษัท กุลธรเคอร์บี้ จำกัด (มหาชน) แจ้งหยุดกิจการชั่วคราวเฉพาะบริษัท กุลธรเคอร์บี้ จำกัด (มหาชน) ในระหว่างวันที่ 1-31 กรกฎาคม 2567 โดยที่บริษัทฯ จะทำการหยุดกิจการเป็นช่วงๆ และพิจารณาจากจำนวนการผลิต วัตถุดิบ เพื่อลดค่าใช้จ่าย เนื่องจากขาดสภาพคล่องในการซื้อวัตถุดิบ ความละเอียดแจ้งแล้ว
 

เนื่องจากการสื่อสารดังกล่าว ทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าบริษัทฯ ได้ปิดกิจการตั้งแต่วันที่ 1-31 กรกฎาคม 2567 ดังนั้น เพื่อความเข้าใจตรงกัน บริษัทฯ ขอเรียนชี้แจงเพิ่มเติมดังนี้

  1. ในเดือนกรกฎาคม 2567 บริษัทฯ ประสบปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน ทำให้ไม่สามารถจัดหาวัตถุดิบ และส่งมอบให้งานการผลิตได้ตามแผนการผลิตของบริษัทฯ
  2. เพื่อการประหยัดค่าใช้จ่าย และเพื่อมิให้พนักงานว่างงาน ฝ่ายจัดการจึงให้หยุดกิจการเป็นการชั่วคราว ในวันที่ 4, 5, 11, 12, 13, 18 และ 19 กรกฎาคม 2567 ส่วนวันอื่นๆ ยังคงทำงานตามปกติ โดยได้แจ้งการหยุดกิจการเป็นการชั่วคราวให้พนักงาน พนักงานตรวจแรงงาน และจ่ายเงินให้ลูกจ้าง ร้อยละ 75 ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 75
  3. การหยุดกิจการเป็นการชั่วคราว เป็นการแจ้งหยุดเฉพาะส่วนงานที่ไม่มีเนื้องานให้ทำงาน หน่วยงานอื่นที่มีเนื้องานให้ทำงาน พนังงานยังมาปฏิบัติงานตามปกติ
  4. สำหรับระยะเวลาตั้งแต่ 20-31 กรกฎาคม 2567 ฝ่ายจัดการจะพิจารณาเรื่องดังกล่าวเป็นรายสัปดาห์

บริษัทฯ ต้องขออภัยในการสื่อสารที่ทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนมา ณ โอกาสนี้

 

โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2567 ทาง KKC ได้รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า บริษัท กุลธรเคอร์บี้ จำกัด (มหาชน) แจ้งหยุดกิจการชั่วคราวเฉพาะบริษัท กุลธรเคอร์บี้ จำกัด (มหาชน) สำหรับบริษัทย่อยยังคงปฏิบัติงานเหมือนเดิม ในระหว่างวันที่ 1-31 กรกฎาคม 2567 บริษัทจะทำการหยุดกิจกิจการเป็นช่วงๆ โดยพิจารณาจากจำนวนการผลิด และวัตถุดิบ เพื่อลดค่าใช้จ่ายของบริษัท

เนื่องจากการขาดสภาพดล่องในการซื้อวัตถุดิบ เพื่อผลิตและส่งมอบ เนื่องจากวัตถุดิบหลัก เช่น เหล็ก ทองแดง มีความจำเป็นต้องใช้วงเงิน working capital (LC) จากธนาคารในการซื้อ ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจากับธนาคาร

และจะมีการจ่ายเงินเดือนให้พนักงานที่หยุดปฏิบัติงาน 75% ตามพระราชบัญบัญญัติ คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 75 เรื่องการหยุดกิจการชั่วคราว การหยุดกิจการชั่วคราวเฉพาะส่วนงานการผลิตที่ไม่มีวัตถุดิบ

ในส่วนงานอื่นๆ ที่ปฏิบัติงานประจำบางส่วน จะยังคงปฏิบัติงานอยู่ได้แก่ พนักงานดูแล (เครื่องจักร) ส่วนการผลิต ส่วนวิศวกรรมโรงงาน ส่วนเทคโนโลยีสารสนเทศ ฝ่ายขนส่ง ฝ่ายวางแผนการผลิตและคลังสินค้า ฝ่ายปฏิบัติงานการเงิน ฝ่ายบัญชี ฝ่ายความปลอดภัยแผนกสรรหาและค่าจ้างเงินเดือน

ทั้งนี้ ทาง KKC ได้มีการให้รายละเอียดในเรื่องของความคืบหน้าแนวทางแก้ไขว่า บริษัทฯ เร่งดำเนินการเจรจากับเจ้าหนี้สถาบันการเงิน เพื่อจัดหาเงินทุนเพิ่มเติมให้เร็วที่สุด และอยู่รอการอนุมัติวงเงิน

กระทั่งต่อมาเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2567 ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้มีการออกหนังสือ เตือนผู้ลงทุนขอให้ศึกษาข้อมูลการหยุดกิจการชั่วคราวของ KKC ตามที่ บริษัทกุลธรเคอร์บี้ จำกัด (มหาชน) (KKC) แจ้งหยุดกิจการชั่วคราวระหว่างวันที่ 1-31 กรกฎาคม 2567 รายละเอียดปรากฏตามข่าวของบริษัทวันที่ 17 กรกฎาคม 2567 เวลา 08.12 น. เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน และขอให้ไช้ความระมัดระวังในการซื้อขายหลักทรัพย์ของ KKC

ส่งผลทำให้ในปัจจุบัน บริษัทกุลธรเคอร์บี้ จำกัด (มหาชน) ถูกตลาดหลักทรัพย์ฯ ขึ้นเครื่องหมาย "NC" กำกับไว้ ซึ่งเป็นเครื่องหมายที่แจ้งให้นักลงทุนทราบว่าเป็นหลักทรัพย์ของบริษัทที่อาจเข้าข่ายการถูกเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ

สำหรับผลการดำเนินงานของ KKC ย้อนหลัง 3 ปี (2564-2566) 

  • รายได้รวมอยู่ที่ 6,714.41 ล้านบาท 6,097.04 ล้านบาท และ 3,297.50 ล้านบาท
  • กำไรสุทธิอยู่ที่ -521.32 ล้านบาท -807.68 ล้านบาท และ -1,280.99 ล้านบาท 
  • สินทรัพย์รวมอยู่ที่ 6,721.70 ล้านบาท 7,052.15 ล้านบาท และ 5,116.35 ล้านบาท
  • หนี้สินรวมอยู่ที่ระดับ 6,220.08 ล้านบาท 6,140.83 ล้านบาท และ 5,792.48 ล้านบาท ตามลำดับ

ขณะที่ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2567

  • รายได้รวมอยู่ที่ 682.66 ล้านบาท
  • กำไรสุทธิอยู่ที่ -306.83 ล้านบาท
  • สินทรัพย์รวมอยู่ที่ 5,049.52 ล้านบาท
  • หนี้สินรวมอยู่ที่ 6,032.49 ล้านบาท