จากการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ได้นำคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ในช่วงเย็นวานนี้ (6 ก.ย.67) และในวันที่ 7 ก.ย. นายกฯ ได้เดินหน้าประชุม ครม.นัดพิเศษ เพื่อขอความเห็นชอบร่างนโยบายของรัฐบาลที่จะแถลงต่อรัฐสภาฯ
โดยการประชุมครม.นัดพิเศษ นายกฯ เผยว่า ได้แจ้งให้รัฐมนตรีทุกคนทราบให้เตรียมตัวตอบคำถามการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาในประเด็นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งช่วยกันสื่อสารนโยบายแต่ละรัฐมนตรีที่รับผิดชอบ เพื่อให้ข้าราชการและประชาชนเข้าใจนโยบายของรัฐบาลอย่างชัดเจนมากขึ้น
อีกทั้งยังระบุว่า ส่วนใหญ่นโยบายที่จะแถลงจะเป็นนโยบายที่ทำต่อเนื่องจากรัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน หลังจากรับฟังความคิดเห็นของพรรคการเมืองแต่ละพรรค และได้ปรับแก้แล้ว เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน และเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ รวมทั้งแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี นโยบายเร่งด่วน รัฐบาลจะเร่งการปรับโครงสร้างหนี้ ช่วยเหลือเอสเอ็มอี กระตุ้นเศรษฐกิจ และช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง
ทั้งนี้ จากการเฝ้าสังเกตการณ์หลังจากที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ขึ้นรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีช่วงปรับย่อตัวลงบ้างแต่ก็เป็นเพียงช่วงสั้นๆ ในระหว่างรอความชัดเจนการฟอร์มทีมรัฐบาลชุดใหม่ และความชัดเจนการเดินหน้านโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดทุนเท่านั้น
ด้วยคำมั่นของนายกฯ ในเรื่องการเดินหน้าโครงการแจกเงินเพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ทำให้ในสัปดาห์นี้ (2-6 ก.ย.67) ราคาหุ้นหลายกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มค้าปลีกอย่าง CPALL ที่ปรับตัวขึ้นมาถึง 4.75 บาท/หุ้น โดยวันที่ 6 ก.ย.67 ราคาหุ้นอยู่ที่ 65.25 บาท เทียบกับวันที่ 30 ส.ค.67 ราคาหุ้นอยู่ที่ 60.50 บาท/หุ้น
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า จากปัจจัยตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) เดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 0.35% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันในปีก่อน เป็นบวก 5 เดือนติดต่อกัน ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) เร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อน ฝ่ายวิจัยประเมินเป็น Sentiment เชิงบวกต่อการลงทุนกลุ่มค้าปลีก
โดยคาดกำไรปกติในช่วง 6 เดือนหลังปี 67 ของกลุ่มเติบโตเมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันในปีก่อน จากกำลังซื้อที่ฟื้นตัวดีขึ้น รวมไปถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ ตลอดจนการคุมต้นทุน และ Product mix ที่ดีขึ้น และการเติบโตของภาคท่องเที่ยวที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยปรับน้ำหนักการลงทุนขึ้นเป็น "มากกว่าตลาด" คาดหุ้นในกลุ่มยังปรับตัวขึ้นได้ต่อจาก
ประกอบกับคาดการณ์ว่า ยอด 30TD SSSG สะท้อนว่าเศรษฐกิจในประเทศยังค่อยๆ พื้นตัว ผู้บริโภคระมัดระวังกับการใช้จ่ายทำให้ยอดขายสินค้าอุปโภคบริโภคซึ่งเป็นสินค้าจำเป็นเด่นกว่าทั้งกลุ่มจาก SSSG ที่เป็นบวกเมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันในปีก่อน
จากปัจจัยที่กล่าวไปข้างต้น ทำให้หุ้นเด่นของกลุ่มฝ่ายวิจัยเลือก CPALL(ราคาเป้าหมาย 76.00) และ BJC (ราคาเป้าหมาย 28.00) จากเเนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังปี 67 คาดโตกว่าเมื่อเทียบครึ่งแรกปี และเมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันในปีก่อน อีกทั้ง Valuation ปัจจุบันยังไม่แพง กำไรปกติของทั้งทั้งคู่มี Upside จากประมาณการปัจจุบันของฝ่ายวิจัยอย่างน้อย 5-10%
บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า กลุ่มค้าปลีกอาหาร มียอดขายต่อสาขาเดิม (SSSG) ที่บวกและดีขึ้นจากเดือนก่อน เป็น 2.7% ในเดือนส.ค.67 จาก 0.1% ในเดือน ก.ค.67 จากยอดขายสินค้ากลุ่มอาหารแห้งและอาหารสด โดย CPAXT โดดเด่นที่สุดในกลุ่ม รับอานิสงส์จากการท่องเที่ยว (Makro +4.5%, Lotus’s +5.0%)
ตามมาด้วย CPALL มี SSSG ที่ 3.0% รับแรงหนุนจากยอดขายกลุ่มอาหารพร้อมทาน BJC มี SSSG พลิกกลับมาเป็นบวก 1.5% ขณะที่ CRC (ธุรกิจอาหาร) ยังมี SSSG ที่ -1% ในเดือน ส.ค.67 แต่ดูดีขึ้นจากเดือนก่อน ทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม แม้ว่าบางส่วนจะได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าในช่วงที่ผ่านมา
ด้านกลุ่มค้าปลีกสินค้าซ่อมแซมและตกแต่งบ้าน มี SSSG เป็นลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 16 และต่ำสุดในรอบ 8 เดือนที่ -5.5% ในเดือน ส.ค. 67 จาก -3.5% ในเดือน ก.ค.67 ผลจากกำลังซื้อผู้บริโภคที่ชะลอตัว น้ำท่วมในบางพื้นที่ งบประมาณภาครัฐเบิกจ่ายได้ช้าใกล้เคียงกับปีก่อน และภาคอสังหาฯ ที่ชะลอตัว
ทำให้บริษัทในกลุ่มค้าปลีกสินค้าซ่อมแซมและตกแต่งบ้านยังคงมี SSSG ติดลบเมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันในปีก่อน ได้แก่ HomePro ที่ –6.5%, DOHOME ที่ -9.0%, GLOBAL ที่ -5.0%, ไทวัสดุ (ภายใต้ CRC) ที่ -4%, และ Mega Home (ภายใต้ HMPRO) ที่ -3% ในเดือน ส.ค. 67 เราคาดว่าภาคอสังหาฯ ที่ชะลอตัวจะยังคงกดดันยอดขายผ่านหน้าร้านในช่วง 1-2 ไตรมาสจากนี้
ขณะที่ยอดขายในกลุ่มผู้รับเหมาทยอยฟื้นตัวบ้างแล้ว ตามปัจจัยการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนของภาครัฐ โดยบริษัทที่มีสัดส่วนรายได้จากผู้รับเหมามากสุด ได้แก่ ไทวัสดุ (ภายใต้ CRC) 50%, Mega Home (ภายใต้ HMPRO 50% GLOBAL 35%, และ DOHOME 20%) เป็นต้น
กลุ่มค้าปลีกเผชิญแรงกดดันจาก SSSG ที่อ่อนตัวลงตั้งแต่เดือนพ.ค.66 หลังการขาดหายไปของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้ว่าภาคบริการยังฟื้นตัวต่อเนื่อง หนุนให้ SSSG กลุ่มค้าปลีกอาหารยังสดใสแม้ว่าฝนตก ขณะที่ SSSG กลุ่มค้าปลีกสินค้าซ่อมแซมและตกแต่งบ้านยังอ่อนตัวตามช่วงฤดูฝนและกำลังซื้อผู้บริโภคที่ลดลง บวกกับการเบิกจ่ายงบประมาณการที่ค่อนข้างน้อย
ทางฝ่ายมองว่าช่วงฤดูฝนเป็นช่วงที่ดีในการเข้าสะสมกลุ่มค้าปลีก คงแนะนำ Overweight กลุ่มค้าปลีก โดยเน้นสะสมในกลุ่มค้าปลีกอาหารที่ SSSG ยังคงแข็งแกร่งและมีโอกาสได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศษฐกิจของรัฐบาลช่วงปลายปี อย่างไรก็ดี ทางฝ่ายเลือก CPALL เป็นหุ้นเด่น ในเดือน ก.ย.67 จากแนวโน้ม SSSG ที่แข็งแกร่ง เป็นปัจจัยผลักดันให้ผลประกอบการครึ่งปีหลังมีให้เติบโตโดดเด่น