ดัชนีตลาดหุ้นไทยแกว่งแคบ รอความหวังใหม่เข้าหนุน

11 ก.ย. 2567 | 00:00 น.

ดัชนีตลาดหุ้นไทยเปิดต้นสัปดาห์ 9-12 ก.ย.67 แกว่งกรอบแคบ หลังจากทะยานขึ้นมาอย่างร้อนแรง ทำให้แรงเริ่มแผ่วลง จับตานายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร แถลงนโยบายต่อรัฐสภา วันที่ 12 ก.ย.67 นี้ อาจมีความหวังใหม่เข้ามาหนุนตลาดหุ้นไทย

จากการเฝ้าสังเกตุการความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยในช่วงต้นสัปดาห์นี้ (9-13 ก.ย.67) เริ่มต้นวันที่ 9 ก.ย.67 เปิดสัปดาห์มา ตลาดหุ้นแกว่งตัวในกรอบแคบๆ ดัชนีปิดตลาดแดนบวกที่ระดับ 1,431.13 จุด เพิ่มขึ้น 3.49 จุด หรือเปลี่ยนแปลง 0.24% มีมูลค่าซื้อขายทั้งสิ้น 87,242.26 ล้านบาท

ถัดมาในวันที่ 10 ก.ย.67 ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดแดนลบที่ระดับ 1,428.03 จุด ลดลง 3.10 จุด หรือเปลี่ยนแปลง 0.22% มีมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 64,242.04 ล้านบาท

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการแกว่งตัวของตลาดหุ้นไทยในช่วงต้นสัปดาห์นี้เสมือนกำลังรอปัจจัยใหม่เข้ามาหนุน ด้วยใกล้ถึงนัดวันสำคัญที่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ในวันที่ 12 ก.ย.67 นี้

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นดีกว่าเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ภูมิภาค ซึ่งการการเพิ่มขึ้นเป็นสาเหตุเฉพาะตัว

โดยเฉพาะด้านความชัดเจนการจับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลชุดใหม่ที่ยังคงเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับนโยบายยุคนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ทำให้ความหวังที่ในเรื่องของการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ การอัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมไปถึงนโยบายผลักดันตลาดทุนไทย

แต่ด้วยการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรงในช่วงปลายสัปดาห์ก่อนหน้า นอกจากความชัดเจนการเมืองที่เพิ่มขึ้น ปัจจัยสำคัญอีกประการมาจากความคาดหวังของนักลงทุนที่ประเมินเงินจากการเสนอขายหน่วยลงทุนประเภท ก. จากกองทุนวายุภักษ์ จะไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นโดยตรง และผลักดันตลาดในเชิงบวก

ทำให้มาถึงต้นสัปดาห์นี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยดูเหมือนจะเริ่มตึงตัว แกว่งตัวในกรอบแคบๆ เพื่อรอความหวังปัจจัยใหม่เข้ามาหนุน ในทางกลับกัน ทางฝ่ายกลับไม่ได้มองว่าการมาของ "กองทุนวายุภักษ์" จะเป็นผลบวกขนาดนั้น เนื่องจาก

  1. การประกันผลตอบแทนของกองทุน โดยเฉพาะผลตอบแทนปันผลรายปี ในระดับ 3-5% และประกันเงินต้นในกรณีลงทุน 10 ปี ทำให้เงินลงทุนอาจไม่ได้ไหลเข้าลงทุนในหุ้นทั้งหมด
  2. เงินทุนที่ระดมทุนได้ 1-1.5 แสนล้านบาท อาจถูกนำไปลงทุนในตราสารหนี้ ซึ่งอาจพิจารณาว่าเป็นการช่วยเหลือกระทรวงการคลังในเรื่องขาดดุลงบประมาณ
  3. ลักษณะของธุรกรรมโดยรวมคล้ายการกู้ยืมเงินจากรายย่อย และ NAV ของหน่วยลงทุนประเภท ก ไม่ได้สะท้อน NAV ของกองทุน

"แม้เรามองว่าด้วยแนวทางในการลงทุนของกองทุนวายุภักษ์ ไม่ได้เป็นการลงทุนแบบทุ่มหมดหน้าตัก แต่เป็นการเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มดี และให้ผลตอบแทนที่ดี ทำให้เงินที่จะมาอยู่ในตลาดทุนไทยอาจไม่ได้เต็ม 100% และมีการกระจายไปยังสินทรัพย์อื่นๆ แต่อีกหนึ่งข้อดีของการมาของกองทุนวายุภักษ์ คือ ช่วยเป็นเกราะป้องกัน Downside ให้กับ SET Index ยามที่มีแรงกระเพื่อมเข้ามากระทบ"

ในส่วนปัจจัยต่างประเทศนั้น มองว่าสัญญาณการลดดอกเบี้ยเฟดรอบเดือนก.ย.67 ยังไม่แน่นอนในเรื่องขนาด ตัวเลขเศรษฐกิจที่ผสมผสานในช่วงที่ผ่านมา ทำให้คาดการณ์รอบประชุมในเดือนก.ย. ยังคงมีความไม่แน่นอน ล่าสุด ตลาดมองความน่าจะเป็นการลดดอกเบี้ย 0.25% ที่ 67% และการปรับลดดอกเบี้ยในระดับ 0.50% ที่ความน่าจะเป็น 33%

ขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีสหรัฐฯ ปรับลดลงไปต่ำสุด 3.65% (จากสูงสุด 5.02% ในช่วงเดือน ต.ค.66) ทำให้อาจมองว่าตลาดพันธบัตร วิ่งรับข่าวการลดดอกเบี้ยไปล่วงหน้าไกลเกินไป หรือมากไปแล้ว ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวทำให้เราอาจเห็นแรงขายทำกำไรในหุ้นหรือสินทรัพย์เสี่ยงในระยะสั้นได้

ภาพรวมกลยุทธ์ สำหรับ SET Index การผ่าน 1,365 จุดไปได้ทำให้กรอบการเก็งกำไร (trading range) ขยับขึ้นเป็น 1,365-1,430 จุด ซึ่งยังคล้ายพันธบัตร และได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง อาทิ ไฟฟ้า รีทส์ แกร่งกว่าตลาด และใช้จังหวะผันผวนสะสมหุ้นที่โมเมนตัมกำไรยังเป็นขาขึ้น อาทิ สื่อสาร, อาหาร และค้าปลีก นอกจากนี้กลุ่มท่องเที่ยวก็ยังมีความน่าสนใจจากการเข้าสู่ไฮซีซัน ทางฝ่ายจึงชอบ AOT, ERW, SPA

สำหรับหุ้นแนะนำ

  • CBG (ราคาเป้าหมาย 72 บาท) คาดผลการดำเนินงานไตรมาส 3/67 ฟื้นตัว จากยอดขาย Energy drink ที่ดีขึ้น และคาดได้ประโยชน์จากนโยบายภาครัฐ ตัดขาดทุน 67.5 บาท
  • EGCO* (ราคาเป้าหมาย 129 บาท) จากผลการดำเนินงานไตรมาส 3/67 ได้อานิสงค์จากธุรกิจในต่างประเทศ และการแข็งค่าของเงินบาท บวกต่อ FX Gain ตัดขาดทุน 115 บาท
  • CPNREIT* (ราคาเป้าหมาย 14 บาท) คาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานมีแนวโน้มได้ประโยชน์จากวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง ตัดขาดทุน 11.70 บาท
  • SAMART* (ราคาเป้าหมาย 8 บาท) ด้วยคาดการณืว่าผลการดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และคาดฟื้นตัวต่อเนื่อง จากการกลับมาของรายต่ายภาครัฐฯ และการลงทุนด้าน IT/AI ตัดขาดทุน 6.20 บาท

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)

อย่างไรก็ตาม ประเมินกรอบแนวรับในระยะสั้นนี้ไว้ที่ระดับ 1,405 และกรอบแนวต้านที่ระดับ 1,437 จุด สำหรับสัดส่วนลงทุนนั้น แนะนำถือเงินสด 40% และพอร์ตหุ้น 60%

บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ปัจจัยที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ (9-13 ก.ย. 67) ในส่วนของปัจจัยต่างประเทศ ได้แก่

  • ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ CPI และ PPI ในวันที่ 11-12 ก.ย.67 ซึ่งน่าจะมีผลต่อมุมมองดอกเบี้ย ซึ่งจะเข้าสู่ช่วงการประชุม Fed ในสัปดาห์หน้า
  • การประชุม ECB ของยุโรป ในวันที่ 12 ก.ย.67

ในขณะปัจจัยในประเทศ รัฐบาลชุดใหม่ มีกำหนดการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา วันที่ 12 ก.ย. ซึ่งคาดว่าจะยังเป็นแรงหนุนเฉพาะตัวต่อตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง แม้ว่าปัจจัยต่างประเทศอาจจะเริ่มมีความผันผวน