PCE วางเป้ารายได้ปี 67 โต 10% ยิ้มรับเทรดวันแรกราคาเปิดพุ่ง14%

12 ก.ย. 2567 | 10:24 น.
อัพเดตล่าสุด :12 ก.ย. 2567 | 10:25 น.

PCE ปิดจบซื้อขายวันแรกราคาหุ้นยืนแดนบวกที่ 2.44 บาท สูงกว่าราคาจองที่ 2.28 บาท บิ๊ก "ประกิต ประสิทธิ์ศุภผล" ฟุ้งความต้องการน้ำมันปาล์มยังเติบโต หนุนรายได้ปี 67 โตกว่า 10%

ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PCE เปิดซื้อขายวันนี้ 12 ก.ย.2567 เป็นวันแรก โดยราคาเปิดตลาดอยู่ที่ระดับ 2.60 บาท เพิ่มขึ้น 0.32 บาท หรือเปลี่ยนแปลง 14.03% จากราคาจองซื้อ (ไอพีโอ) ที่ราคา 2.28 บาท

โดยในระหว่างวันราคาหุ้น PCE ดีดตัวขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ระดับ 2.66 บาท และย่อตัวลงทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 2.40 บาท มีมูลค่าซื้อทั้งทั้งสิ้น 805.88 ล้านบาท โดยสิ้นวันปิดตลาดราคาอยู่ที่ระดับ 2.44 บาท

PCE เทรดวันแรก

นายประกิต ประสิทธิ์ศุภผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PCE เปิดเผยว่า การซื้อขายหุ้นวันแรกในวันนี้ 12 ก.ย.2567 เปิดตลาดมาราคาเหนือจอง นับว่าเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง สะท้อนต่อการรับรับที่ดีของนักลงทุน และมองเห็นความสามารถและโอกาสในการเติบโตของธุรกิจในอนาคต

จากความต้องการน้ำมันปาล์มยังเติบโตได้ต่อเนื่องในปี 2567 นั้น ส่งผลให้มองว่าในภาพรวมการเติบโตของรายได้ในปีนี้ของบริษัทมีโอกาสเพิ่มขึ้นได้ไม่น้อยกว่า 10% จากปีก่อน ประกอบกับการที่บริษัทสามารถบริหารจัดการระบบขนส่ง และบริหารการจัดการงานต่างๆ ได้ดีมากขึ้น ทำให้คาดว่าจะสนับสนุนให้มาร์จิ้นมีการเติบโตได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย

ทั้งนี้ เงินระดมทุนที่ได้บางส่วนจะนำไปลงทุนขยายโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มดิบ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีก 4-5 แสนตันต่อปี หรือเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจากโรงงานเดิมที่ผลิตได้ 4-5 แสนตันต่อปี เบื้องต้นคาดว่าโรงงานดังกล่าวจะใช้เงินลงทุนประมาณ 400-600 ล้านบาท คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและใช้งานได้ช่วงปลายปี 68 หรือต้นปี 69

นอกจากนี้ บริษัทจะใช้เงินระดมทุนเพื่อยกระดับประสิทธิภาพกระบวนการผลิตให้ดียิ่งขึ้น รองรับการขยายตลาดในทุกภาคส่วนทั้งในประเทศและตลาดส่งออก รวมถึงพัฒนาเทคโนโลยีใช้ในการวิจัย และพัฒนาต่อยอด เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์และสร้างโอกาสในตลาดใหม่ๆ ในอนาคต

นายกีรติ ไชยะกุล ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานบัญชีและการเงิน PCE กล่าวว่า นอกจากการลงทุนขยายโรงงานเพื่อต่อยอดธุรกิจให้เติบโต บริษัทพิจารณาการเข้าลงทุนในบริษัทฯ อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจเป็นรูปแบบการเข้าซื้อหรือร่วมลงทุน โดยงบในส่วนนี้พิจารณาจะใช้ประมาณ 500 ล้านบาท ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาการเข้าลงทุนอยู่หลายราย

สำหรับสัดส่วนรายได้บริษัทในปัจจุบันส่วนใหญ่มาจากในประเทศกว่า 60% และส่วนที่เหลืออีกราว 40% มาจากต่างประเทศ โดยในอนาคตอาจปรับเปลี่ยนสัดส่วนเป็น 50% ต่อ 50% ซึ่งประเทศที่บริษัทให้ความสนใจเป็นพิเศษ ได้แก่ จีน และอินเดีย เป็นต้น

ด้านผลการดำเนินงานปี 2564-2566 บริษัทมีรายได้รวม อยู่ที่ 28,178.54 ล้านบาท, 32,696.15 ล้านบาท และ 24,722.79 ล้านบาท ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 847.33 ล้านบาท, 214.40 ล้านบาท และ 330.50 ล้านบาท ตามลำดับ

ส่วนงวด 6 เดือนแรกปี 2567 กลุ่มบริษัทมีรายได้รวม อยู่ที่ 12,921.47 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 211.97 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดย ณ ปี 2566 รายได้หลักของกลุ่มบริษัทมาจากอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มถึง 98.61% และมีสัดส่วนการจำหน่ายในประเทศ 63.67% และต่างประเทศ 36.33%

นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า PCE มีโอกาสเติบโตตามทิศทางขยายตัวอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มทั้งจากกำลังซื้อภายในประเทศ และต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการบริโภคอุปโภค กลุ่มพลังงานทดแทนที่มีความต้องการเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

รวมทั้งการใช้โอเลโอเคมิคอลเพื่อเป็นส่วนประกอบในสินค้า เช่น เครื่องสำอาง สบู่ ครีมบำรุงผิว เป็นต้น ตลอดจนอุตสาหกรรมน้ำมันไบโอดีเซล ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศและเศรษฐกิจโลก


โบรกวางราคาเหมาะสม 3.60 บาท

บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า PCE เป็นผู้ประกอบการน้ำมันปาล์มรายใหญ่มีผลิตภัณฑ์ครบวงจรที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ, กำลังผลิตไบโอดีเซลสูงอันดับ 3, ยอดส่งออกน้ำมันปาล์มอันดับต้นๆ ของประเทศ (สัดส่วน 36%), รายได้สูงกว่าคู่แข่งอย่างมีนัยสำคัญ

บริษัทฯ มีจุดเด่นจากโครงสร้างโลจิสติกส์ครบวงจรทั้งคลังน้ำมัน - การขนส่งทางรถบรรทุก และเรือ อีกทั้งทำเลยังอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่มีความพร้อมด้านวัตถุดิบ และได้เปรียบด้านต้นทุนขนส่ง อีกทั้ง บริษัทฯ มีรากฐานที่แข็งแกร่ง พร้อมเติบโตเพื่อรักษาความเป็นผู้นำด้วยการลงทุนด้านเทคโนโลยี, R&D, ออกผลิตภัณฑ์ใหม่, ขยายสู่ต่างประเทศมากขึ้น

คาดกำไรปี 2567-2568 เติบโตสูง +46% CAGR จาก El Nino คลายตัว, สัญญาขาย B100 ฉบับใหม่, ปรับ Product Mix, เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รวมไปถึงยังมีปัจจัยบวกเพิ่มเติมจากการเพิ่มพื้นที่เพาะปลูก และนโยบายดีเซล B40 ของอินโดนีเซีย ทั้งนี้ ทางฝ่ายประเมินราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2568 ที่ 3.60 บาท อ้างอิง PER ที่ 14.0 เท่า