กรณีที่ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ได้รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) วานนี้ 23 ก.ย.2567 ว่า บริษัทไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) หรือ TPC ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ในกลุ่มธุรกิจเคมิคอลส์ ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง ได้เกิดเพลิงไหม้ในบริเวณโรงงาน
พร้อมกันนี้ ทาง SCC ยังระบุเพิ่มเติมอีกว่า ด้วยเหตุเพลิงไหม้ดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อยอดขาย ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 0.04% ของยอดขายของเอสซีจี ทั้งนี้ แม้เหตุการณ์ดังกล่าวได้สงบลงแล้วแต่ TPC ยังคงติดตามและดูแลความปลอดภัยต่อชุมชน และคุณภาพอากาศอย่างใกล้ชิดต่อไป
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ เปิดเผยว่า เหตุการณ์บริษัทย่อย SCC ไฟไหม้ มองว่ากลุ่มธุรกิจที่โดน คือ TPC ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่ทำกำไรดีที่สุด แน่นอนว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้ต้องส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานโดยรวมอย่างแน่นอน เนื่องจากสายการผลิตดังกล่าวต้องหยุดการดำเนินงานชั่วคราวไปก่อน
เข้าใจว่าในขณะนี้ SCC อยู่ระหว่างการประเมินความเสี่ยงและต้นทุนต่างๆ โดยที่ยังไม่ทราบว่า การหยุดดำเนินการสายการผลิตดังกล่าวจะใช้ระยะเวลานานมากน้อยเท่าไหร่ และจะสามารถกลับมาเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ตามปกติในช่วงใด ดังนั้นจึงคาดการณ์ว่าผลกระทบจากเหตุการณ์ไฟไหม้ในครั้งนี้อาจกดดันต่อกำไรตั้งแต่ปลายไตรมาส 3/67 เป็นต้นไป และอาจต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 4/67 นี้ด้วย
ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่ากลุ่มธุรกิจ TPC มีส่วนเกี่ยวข้องกับปิโตรเคมี ดังนั้นแม้แล้วในสถานการณ์ปกติแนวโน้มการดำเนินงานในปีนี้ก็คาดว่าจะไม่ได้ออกมาดีนัก เนื่องจากสเปรดปิโตรเคมียังอยู่ในระดับที่แย่ ทำให้คำแนะนำการลงทุนในกลุ่มปิโตรเคมีจึง "ชะลอไปก่อน" และรอดูความคืบหน้าต่อไป
ซึ่งการที่สเปรดจะกลับมาดีได้อีกครั้ง คงต้องขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศจีน ซึ่งส่งผลต่อดีมานด์ปิโตรเคมี อย่างไรก็ดี ไม่ได้เป็นเพียงแค่ SCC เท่านั้นที่ในปัจจุบันยังไม่น่าสนใจในการลงทุน ด้วยกลุ่มปิโตรเคมีเป็นกลุ่มที่กำลังเผชิญปัญหาในการตั้งสำรองสูง ทำให้ทั้ง IVL ที่มีการตั้งสำรองสูงในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา และในไตรมาส 3 ก็ยังคง Outperform อยู่ เช่นเดียวกันกับ PTTGC