ไตรมาส 3/67 ไฮซีซัน กลุ่มเฮลธ์แคร์กำไรพีค

04 พ.ย. 2567 | 22:00 น.

แม้ไตรมาส 3 ของทุกปีจะเป็นโลว์ซีซั่นของหลายภาคธุรกิจ แต่กูรูมองหุ้นกลุ่ม Healthcare สวนทางตลาด น่าสนใจ ด้วยปัจจัยโรคระบาดหนุนอัตราการเติบโตของรายได้และกำไรพีคที่สุดในปีนี้ คาดโต 5.4% แตะระดับ 8.05 พันล้านบาท ชู BCH PR9 BDMS และ BH เด่น

จากปัจจัยฤดูกาลในไตรมาส 3/67 ที่มีสภาพอากาศที่ค่อนข้างแปรปรวน มีฝนตกอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ ทำให้เกิดอุทกภัยแม้ว่าอาจไม่ได้กินระยะเวลานานเท่าเมื่อเทียบกับปี 54 แต่ก็ส่งผลกระทบไม่น้อยต่อความเสียหายของบ้านเรือนประชาชนจำนวนมาก และที่สำคัญที่สุด คือ ด้านปัญหาสุขภาพ โรคระบาดต่างๆ ก็มีการแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว

ทำให้อัตราการเข้ารับรักษาตัวของกลุ่มโรงพยาบาลในช่วงที่ผ่านมาอยู่ในระดับที่สูงทั้งผู้ป่วยนอก (OPD) และผู้ป่วยใน (IPD) ดังนั้นด้วยปัจจัยที่กล่าวมาในข้างต้น ทำให้คาดว่าผลการดำเนินงานในช่วงเดือนก.ค.-ก.ย.67 ของหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ (Healthcare) จึงเป็นที่น่าสนใจอีกครั้ง ซึ่งเหล่านักวิเคราะห์ลงความเห็นว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 3/67 จะพีคที่สุดในปีนี้

นายสุโชติ ถิรวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) เปิดผยว่า จากการกลับเข้าสู่ช่วยการทยอยประกาศผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 3/67 ของกลุ่มบริษัทจดทะเบียน (บจ.) แม้ว่าในไตรมาสนี้จะเป็นโลว์ซีซั่นของธุรกิจ แต่กลุ่ม Healthcare กลับมีความน่าสนใจในการลงทุนสวนทางกลับกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ
 

ด้วยปัจจัยฤดูกาลที่สภาพอากาศค่อยข้างมีความแปรปรวนเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวฝน ส่งผลให้โรคไข้หวัดกลับมามีการระบาดอีกครั้ง และทำให้ความต้องการการรักษาและดูแลสุขภาพมีเพิ่มมากขึ้น เป็นปัจจัยเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่ม Healthcare ซึ่งที่อยู่ในการดูแลของทางฝ่ายประกอบด้วย BCH BDMS และ BH

ทั้งนี้ ทางฝ่ายมีมุมมองเชิงบวกต่อ BCH มากที่สุดในกลุ่ม โดยมองว่าในไตรมาส 3/67 จะเติบโตสูงที่สุดในปีนี้ เติบโตได้ดีกว่าทั้งจากเทียบช่วงเดียวกันปับปีก่อน และจากไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่ภาพรวมในปี 67 นี้ คาดการณ์ว่าจะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,484 ล้านบาท และจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 20% ในปี 68 โดยคาดว่ากำไรสุทธิจะทำได้ที่ระดับ 1,776 ล้านบาท ประเมินราคาเป้าหมายปี 68 ไว้ที่ 21.00 บาท
 

กลุ่มเฮลธ์แคร์ทำกำไรพุ่ง 8.05 พันล้าน

บล.ทิสโก้ ให้มุมมองต่อกลุ่ม Healthcare ว่า ฝ่ายวิเคราะห์คาดการณ์กำไรสุทธิรวมในไตรมาส 3/67 ของหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลไทยในความดูแลของฝ่ายวิเคราะห์จะเพิ่มขึ้น 5.4% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน อยู่ที่ 8.05 พันล้านบาท ปัจจัยหลักของผลประกอบการรายไตรมาส ได้แก่ การเติบโตของรายได้ในประเทศที่สนับสนุนโดยฤดูกาล การเติบโตของรายได้จากต่างประเทศ และกำไรพิเศษจาก SSO

คาด PR9 และ CHG จะเป็นผู้นำในไตรมาส 3/67 โดย PR9 คาดมีกำไรที่ 178 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และโต 28% จากไตรมาสก่อน ขับเคลื่อนโดยการเติบโตของรายได้จากต่างประเทศที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะจากผู้ป่วยตะวันออกกลาง ส่วน CHG คาดรายได้เติบโตที่แข็งแรง พร้อมกำไรจาก SSO ที่คาดว่าอยู่ที่ 90 ล้านบาท ช่วยเพิ่ม EBITDA margin

ด้านการเติบโตของรายได้หลักที่ 5.8% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และ 10.7% จากไตรมาสก่อน ขับเคลื่อนโดยกรณีไข้หวัดตามฤดูกาล การขยายเครือข่าย การเติบโตของรายได้จากต่างประเทศ และความเข้มข้นของการให้บริการที่สูงขึ้น ทั้งนี้ การระบาดของไข้หวัดที่เริ่มเร็วขึ้นในปี 67 นี้

ประกอบกับการระบาดที่รุนแรงกว่าในปี 66 อาจสร้างความท้าทายให้กับผู้เล่นบางรายในไตรมาส 3/67 ตัวอย่างเช่น การเติบโตของรายได้ BDMS อาจต่ำกว่าเป้าหมายของบริษัทที่ 10-12% ในปี 67 (TISCOF อยู่ที่ 7.5%) เช่นเดียวกัน การเติบโตของ EKH และ RAM น่าจะอยู่ในระดับปานกลาง

ทั้งนี้ การเติบโตของผู้ป่วยต่างชาติยังคงแข็งแกร่ง สนับสนุนโดยการหลั่งไหลของผู้ป่วยจากกลุ่ม CLMV และยุโรป รวมถึงการกลับมาของผู้ป่วยตะวันออกกลางหลังเดือนรอมฎอน การกลับมาที่รอคอยมานานของผู้ป่วยคูเวตเกิดขึ้นสำหรับ BH และ BCH ใน ไตรมาส 2/67 และไตรมาส 3/67 ตามลำดับ แม้ว่าจำนวนกรณีเหล่านี้ยังคงมีจำกัด แต่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นตัวในกลุ่มที่มีอัตรากำไรสูงสำหรับโรงพยาบาลที่เน้นผู้ป่วยต่างชาติ

สำหรับโรงพยาบาลที่เน้น SSO ฝ่ายวิคราะห์คาด BCH และ CHG จะได้รับประโยชน์จากกำไรเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรคเรื้อรัง 26 โรค ซึ่งเป็นผลมาจากความแตกต่างระหว่างรายได้ค้างรับและการจ่ายเงินจริง กำไรเหล่านี้อาจเพิ่มกำไรรายไตรมาสของ BCH และ CHG ประมาณ 14% และ 18% ตามลำดับ

ส่วนประเด็นเกี่ยวกับความกังวลเรื่องการปรับอัตราการเบิกจ่าย ปัจจุบัน BCH และ CHG กำลังบันทึกอัตราเต็มที่ 12,000 บาท/Adjusted RW หลังจาก SSO ยืนยันอัตราปัจจุบันในการหารือกับสมาคมโรงพยาบาลเอกชนแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 29 ต.ค.67 การประชุมครั้งสุดท้ายกำหนดไว้ในวันที่ 3 ธ.ค. จะพูดถึงแนวทางแก้ไขปัญหานี้

ในขณะที่หุ้นแนะนำของฝ่ายวิเคราะห์ ได้แก่ PR9, BDMS และ BH คาดว่าจะแสดงการขยายตัวของอัตรากำไรในไตรมาส 3 บริษัทอื่นๆ เผชิญกับความท้าทายที่อาจกดดัน EBITDA margin BCH อาจเห็นอัตรากำไรลดลง จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน เนื่องจากการขาดผู้ป่วยคูเวตที่มีอัตรากำไรสูง

ส่วน EKH มีแนวโน้มจะรายงานการหดตัวของอัตรากำไร จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน จากอัตราการเข้าพักที่ต่ำลงที่โรงพยาบาลเอกชัย และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เพิ่มขึ้น สุดท้าย RAM เผชิญผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากการดำเนินงานที่อ่อนแอที่ RAM และ VBR ในขณะที่บริษัทอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้าง

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิคราะห์คงคำแนะนำซื้อ สำหรับ PR9, BDMS และ BH โดยมูลค่าที่เหมาะสมเท่ากับ 23.00, 37.00 และ 299.00 บาท ตามลำดับ