SET วันนี้ Sideways กรอบ 1,460-1,480 จุด หลังใกล้เลือกตั้งสหรัฐฯ

04 พ.ย. 2567 | 02:55 น.
อัปเดตล่าสุด :04 พ.ย. 2567 | 02:55 น.

บล.ลิเบอเรเตอร์ ชี้ตลาดหุ้นไทยวันนี้ แกว่ง Sideways กรอบ 1,460-1,480 จุด ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯ ต่ำกว่าคาดมาก หนุนโอกาสลดดอกเบี้ย เพิ่มแรงเก็งสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึงใกล้เลือกตั้งสหรัฐฯ กลยุทธ์รอจังหวะสะสมหุ้นที่แนวโน้มกำไรครึ่งปีหลังโตเด่น วันนี้ แนะนำ BBIK

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด (Liberator) ประเมินภาพรวมตลาดหุ้นไทยวันนี้ 1 พ.ย. 67 มองว่า SET Index แกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1,460-1,480 จุด

โดยสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาสหรัฐฯรายงานตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร เดือน ต.ค. ขยายตัวเพียง 1.2 หมื่นคน น้อยกว่าเดือน ก.ย. ที่ 2.23 แสนราย และต่ำกว่าคาดมากที่ระดับ 1 แสนคน สะท้อนภาคแรงงานสหรัฐฯอ่อนแอกว่าคาด อาจเพิ่มโอกาสในการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น หนุนแรงเก็งสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น

ส่วนสัปดาห์นี้ยังมีหลายปัจจัยสำคัญให้ติดตาม ทั้งการเลือกตั้งสหรัฐฯในวันที่ 5 พ.ย. นี้ ซึ่งยังผันผวนมากระหว่าง นายโดนัล ทรัมป์ ผู้สมัครประธานาธิบดีจากพรรคริพับลิกัน และนางกมลา แฮร์ริส ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต โดยในช่วงโค้งสุดท้ายคะแนนความนิยมทรัมป์ พลิกกลับมานำเล็กน้อย ซึ่งตัวแปรสำคัญน่าจะอยู่ที่ 7 รัฐ Swing states เป็นสิ่งที่น่าติดตาม

โดยบทสรุปหาก ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง คาดตลาดหุ้นน่าจะให้น้ำหนักเชิงบวกเนื่องจากมีนโยบายการลดภาษีนิติบุคคล แม้ว่าอาจจะมีความเสี่ยงในระยะกลางจากมาตรการตั้งกำแพงภาษีสินค้าจีนในช่วงถัดไป

นอกจากนี้ แนะตามการเลือกตั้งสมาชิกสภาครองเกรส ด้วย โดยรอบนี้ สภาล่าง จะเลือกใหม่ทั้งหมด 435 คน ส่วนสภาสูงจะเลือกใหม่เพียง 36 คนจากทั้งสิ้น 100 คน  ซึ่งการเลือกตั้งสภาสูงและสภาล่าง เป็นอีกประเด็นที่สำคัญ เนื่องจากจะเป็นส่วนช่วยในการขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ได้ง่ายขึ้น หากพรรคไหนสามารถครองเสียงได้ทั้งสภาสูงและสภาล่าง 

ปัจจัยที่ต้องจับตา

04 พ.ย.      ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน สหรัฐฯ, 
                 คำสั่งซื้อภาคโรงงาน                            
                 PMI ภาคบริการของยูโรโซน, 
                 ดัชนี PMI ภาคบริการของยูโรโซน
05 พ.ย.      เลือกตั้งสหรัฐฯ, ดัชนี ISM ภาคบริการของสหรัฐฯ, 
                  ดัชนี Caixin PMI ภาคบริการของจีน 

หุ้นเด่นแนะนำ

  • BBIK ราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 50.00 บาท คาดกำไรสุทธิไตรมาส 3/67 ที่ 82 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 97% จากไตรมาสก่อน และเติบโต 7.5% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน ทำจุดสูงสุดใหม่ และแนวโน้มไตรมาส 4/67 ยังมีโอกาสเดินหน้าทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง ตามภาพ Digital Transformation ที่เป็น Mega trend ส่วนปี 68 คาดกำไรสุทธิ ที่ 376 ล้านบาท เติบโตเด่น 32%จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน จากภาพธุรกิจที่กลับมาแข็งแกร่ง และการบริการทรัพยากรต่างๆ ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 
  • SGC ราคาเป้าหมาย 1.96 บาท คาดกำไรครึ่งหลังปี 67 จะเร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการเติบโตของโครงการ SG Finance+ ซึ่งเป็นการปล่อยสินเชื่อมือถือที่สามารถล็อกได้หากผิดนัดชำระหนี้ คาดจะทำให้ NPL Ratio อยู่ในระดับต่ำ ผสานกับการปลดล็อกการเพิ่มทุน จะหนุนให้ SGC ผ่อนคลายดอกเบี้ยจ่าย และมีเม็ดเงินเพิ่มเติมในการปล่อยสินเชื่อ หนุนปี 68 กำไรจะเติบโตแบบก้าวกระโดด 
  • BH คาดกำไรไตรมาส 3/67 ยังคงเติบโตโดดเด่น จากการเข้าสู่ช่วง High Season โดยคาดผู้ป่วยจากตะวันออกกลางยังปรับตัวขึ้นดี ขณะที่ประเด็นของคูเวต คาด BH มีโอกาสถูกเลือกเป็น 1 ใน 3 โรงพยาบาลในไทยที่รัฐบาลคูเวตสนับสนุน ภาพระยะกลาง คาดได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากการเปิดโรงพยาบาลแห่งใหม่ในภูเก็ตในช่วงปี 69
  • AOT คาดกำไรในช่วง ก.ค.-ก.ย. 67 จะขยายตัวได้จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน ตามรายได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่ในฝั่งรายได้ที่ไม่เกี่ยวกับการบินอาจลดลงเล็กน้อย จากการยกเลิกร้าน Duty Free ขาเข้าตั้งแต่ ส.ค. 67 โดยในระยะสั้นคาดมีปัจจัยบวกจาก Golden week หนุนนักท่องเที่ยวจีนสูงขึ้น และการเดินหน้าต่อในช่วงปลายปีคาดนักท่องเที่ยวจะเร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากการเข้าสู่ช่วงฤดูกาล ขณะที่ Upside อาจมาจากมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐฯ
  • CPALL คาดแนวโน้มไตรมาส 3/67 เติบโตจากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน แต่ลดลงจากไตรมาสก่อน ตามฤดูกาล โดย SSSG ของ CPALL ในช่วงไตรมาส 3/67 คาดยังคงเติบโต 2.5% แข็งแกร่งกว่ากลุ่มค้าปลีก โดยได้แรงหนุนจากการบริโภคที่ขยายตัว ผสานกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯ ที่เป็นแรงขับเคลื่อนเพิ่มเติม ซึ่งจะส่งต่อไปยังแนวโน้มไตรมาส 4/67 ที่จะกลับมาเร่งขึ้นทั้งจากไตรมาสก่อน และจากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน 
  • ITC คาดกำไรไตรมาส 3/67 ที่ 1,019 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และโต 1% จากไตรมาสก่อน ยังขยายตัวจากราคาวัตถุดิบที่ลดลง แม้ว่าค่าเงินบาทในช่วงไตรมาส 3/67 จะอ่อนแอกว่าคาดก็ตาม (แต่มีการล็อกค่าเงินบาทไว้แล้ว) ภาพรวมการดำเนินงานยังขยายตัวได้ต่อเนื่องตามการขยายตลาดใหม่ๆ และการส่งออกที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ได้