ทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นภายหลังนายโดนัลด์ ทรัมป์คว้าชัยชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ พร้อมครองเสียงข้างมากในสภา Congress แบบเบ็ดเสร็จ (Red sweep)
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัดเปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยจะเคลื่อนไหวสอดคล้องกับตลาดหุ้นเกิดใหม่ในภาพรวม แต่ดัชนีหุ้นไทยจะมีความแข็งแกร่งมากกว่าตลาดหุ้นเกิดใหม่ เนื่องจาก Bond yield ในประเทศไม่ได้ปรับขึ้นในรอบนี้
ทำให้ Valuation ของตลาดหุ้นไทยในมิติส่วนต่างอัตราผลตอบแทน (Yield gap) ยังคงดูน่าสนใจในสายตาของนักลงทุนในประเทศ
ข้อโชคดีก็คือว่า นักลงทุนสถาบันในประเทศยังคงพอมีสภาพคล่องเหลืออยู่ จากการที่รัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นตลาดทุนทั้งกองทุนวายุภักษ์ 1 และกองทุน Thai ESG ดังนั้น ประเมินดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสทรงตัวได้ไปจนถึงสิ้นปีนี้
กลุ่มหุ้นไทยที่น่าสนใจบนธีม U.S. election play ได้แก่ กลุ่ม Oil & Gas จากนโยบายสนับสนุนเชื้อเพลิงฟอสซิลต่อไปของว่าที่ปธน.ทรัมป์ และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม บนความคาดหวังการโยกย้ายฐานการผลิตจากประเด็นสงครามการค้า
ส่วนกลุ่มหุ้นที่ปลอดภัยยังคงมองไปยังกลุ่มหุ้น Domestic ในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม ค้าปลีก อสังหาฯ สื่อสาร ไฟแนนซ์ ท่องเที่ยว รวมถึงกลุ่ม Bond-liked อย่าง IFF/REIT/Utilities ที่ยังคงมี Dividend yield gap อยู่ในระดับสูง
นายตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. จิตตะ เวลธ์ จำกัด การเลือกตั้งที่สิ้นสุดลงช่วยสร้างความชัดเจนให้กับตลาดการลงทุน โดยจะเห็นได้ว่าดัชนี S&P 500 ตอบรับในเชิงขาขึ้นไปแล้ว ซึ่งไม่ใช่เพียงผลตอบรับระยะสั้นเท่านั้น\
เพราะตามสถิติระยะยาวของดัชนี S&P 500 พบว่า หลังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สิ้นสุดลง ตลาดหุ้นปรับเพิ่มขึ้น 83% และหลังการเลือกตั้งในปีถัดๆ ไปจะเห็นดัชนีเป็นบวก จากการดำเนินนโยบายของประธานาธิบดีคนใหม่
ในเวลานี้ถือเป็นจุดที่ดีที่สุดสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งนอกจากความชัดเจนในเรื่องผลการเลือกตั้งแล้ว หากพิจารณาในแง่ของค่าเงินที่เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่กระทบกับผลตอบแทนการลงทุนนั้น
ในช่วงหลังการเลือกตั้งจะหนุนให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับตัวแข็งค่าขึ้นได้อีก นักลงทุนจึงควรใช้โอกาสนี้ในการลงทุนก่อนที่ต้นทุนการลงทุนจะเพิ่มสูงขึ้นตามไป
“ข้อมูลย้อนหลังดัชนี S&P 500 ตั้งแต่ปี 2471-2559 พบว่าภายหลังการเลือกตั้ง 19 ครั้ง หรือ 83% ตลาดหุ้นมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้น โดยปีที่ได้ประธานาธิบดีจากพรรค Republican ตลาดหุ้นจะมีผลตอบแทนเป็นบวก 15.30% และหากเป็นพรรค Democrat จะมีผลตอบแทนเป็นบวก 7.6%”
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าใครจะมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ล้วนมีโจทย์ในการผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโต และชาวอเมริกันมีคุณภาพชีวิตที่ดี ดังนั้นภาพในระยะยาวจึงไม่ต่างกันมาก แต่อาจจะต่างกันที่นโยบาย และไม่ว่าจะเป็นใคร สุดท้ายตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็จะทำ all time high ได้เสมอ
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,043 วันที่ 10 - 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567