นายปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานช่วงไตรมาส 3/67 บริษัทมีรายได้รวมเติบโตเพิ่มขึ้น 16.1% จากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 990.6 ล้านบาท
ขณะที่พอร์ตสินเชื่อคงค้างรวม ณ สิ้นไตรมาสที่ 3/67 อยู่ที่ 102,699.6 ล้านบาท เติบโต 11.8% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน เป็นผลมาจากปริมาณการใช้งานบัตรติดล้อ และบริการโอนเงินสินเชื่อเข้าบัญชีผ่านแอปพลิเคชันเงินติดล้อ ที่ยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับคุณภาพสินเชื่อ โดยมีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (NPL ratio) อยู่ที่ 1.88% ซึ่งอยู่ในกรอบที่วางไว้ไม่เกิน 2% ด้านอัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL coverage ratio) ยังคงอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 230.6%
ในส่วนธุรกิจนายหน้าประกันภัยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยยอดเบี้ยประกันวินาศภัยในช่วงไตรมาส 3 มีมูลค่า 2,376.7 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 15.1% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน การเติบโตนี้เป็นผลมาจากการใช้เทคโนโลยีนายหน้าประกัน (InsurTech Platform) ที่บริษัทสร้างและพัฒนามามากกว่า 10 ปี เพื่อใช้เป็นพื้นฐานขับเคลื่อนธุรกิจนายหน้าประกัน นำเสนอผลิตภัณฑ์และช่องทางที่ครอบคลุม และตรงกับความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าแต่ละกลุ่มได้เป็นอย่างดี ภายใต้แบรนด์ “ประกันติดโล่” (ชื่อเดิม ประกันติดล้อ)
ผ่านนายหน้าผู้เชี่ยวชาญกว่า 5,000 คน ในช่องทางสาขาเงินติดล้อ 1,747 แห่ง ทั่วประเทศ (ข้อมูล ณ เดือน ก.ย. 67) แบรนด์ “อารีเกเตอร์” (Areegator) แพลตฟอร์มเสนอขายประกันออนไลน์ ผ่านสมาชิกนายหน้าประกัน (Partner) มากกว่า 9,000 คน ภายใต้คอนเซปต์ จริงใจ เข้าใจ เติบโตไปพร้อมกัน
และ แบรนด์ “เฮ้กู๊ดดี้” (heygoody) แพลตฟอร์มนายหน้าประกันดิจิทัล ที่ลูกค้าสามารถเลือกซื้อประกันด้วยตัวเองผ่านช่องทางออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมรับความคุ้มครองทันที โดยไม่จำเป็นต้องผ่านพนักงานขายทางโทรศัพท์ (Telesales)
สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 67 บริษัทมีกำไรสุทธิมูลค่า 3,186 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.3% จากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และมีรายได้รวมปรับตัวเพิ่มขึ้น 19.5% จากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 66
โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยรับจากการขยายตัวของธุรกิจสินเชื่อ และการปรับตัวขึ้นของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิตามกลยุทธ์อัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยงและสัดส่วนประเภทสินเชื่อที่เปลี่ยนแปลงไป และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการที่สูงขึ้นจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจนายหน้าประกันภัย
"การดำเนินธุรกิจในช่วง 9 เดือนแรกที่ผ่านมา บริษัทยังคงความสามารถในการทำกำไรที่ดี จากการปรับตัวขึ้นของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) และการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และมั่นใจว่าจะสามารถควบคุม NPL ratio ให้ไม่เกิน 2% ตามกรอบที่วางไว้ ซึ่งปัจจุบัน NPL ratio ยังคงอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม พร้อมกับการตั้งสำรองในระดับที่แข็งแกร่ง ขณะที่คาดว่าในไตรมาสถัดไปปริมาณสินเชื่อใหม่และธุรกิจนายหน้าประกันภัยจะขยายตัวเพิ่มขึ้น"
ทั้งนี้ บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการเติบโตของธุรกิจอย่างมีคุณภาพ ดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม การรักษาสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง การเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียม ควบคู่ไปกับการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่บริษัทยังคงความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและยังคงอันดับเครดิตที่ “A/Stable” จากทริสเรทติ้ง ซึ่งถือเป็นระดับสูงที่สุดเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการในธุรกิจเดียวกัน
สำหรับแผนการปรับโครงสร้างการถือหุ้นและการจัดการ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการยื่นขออนุมัติกับหน่วยงานกำกับที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคาดการณ์ว่ากระบวนการแลกหุ้น (Tender Offer) จะเกิดขึ้นในช่วงเดือนธ.ค.67 ไปจนถึงต้นปี 68 และ Tidlor Holdings จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วงไตรมาส 1/68 อย่างไรก็ดี บริษัทฯ จะแจ้งข่าวให้ผู้ถือหุ้นทราบเพิ่มเติม เมื่อได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับที่เกี่ยวข้องครบถ้วนแล้ว