MSCI Index คืออะไร แตกต่างจาก SET Index อย่างไร

30 พ.ย. 2567 | 03:22 น.
อัปเดตล่าสุด :30 พ.ย. 2567 | 03:23 น.

มาทำความรู้จัก MSCI Index ดัชนีเปรียบเทียบที่จัดทำขึ้นเพื่อให้นักลงทุนได้ใช้เป็นมาตรฐานวัดผลตอบแทนของสินทรัพย์ต่างๆ ใช้เป็นไอเดียหารการลงทุนในธีมประเทศต่างๆ หุ้นไทยพื้นฐานแจ๋วติด 10 อันดับในดัชนี MSCI Thailand

MSCI Index เป็นดัชนีอ้างอิงของบริษัท Morgan Stanley Capital International (MSCI) ซึ่งเป็นบริษัททำดัชนีราคาหุ้นชั้นนำของโลก การวิเคราะห์ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของพอร์ตการลงทุน รวมไปถึงเครื่องมือเกี่ยวกับธรรมาภิบาล สำหรับนักลงทุนสถาบันและกองทุน Hedge fund ต่างๆ

จุดเด่นสำคัญหลักๆ ของดัชนี MSCI คือ ดัชนีหุ้นที่หลากหลายกระจายไปทั่วภูมิภาคและธีม มีสินทรัพย์ต่างๆ หลากหลาย ใช้สำหรับค้นหาโอกาสในการลงทุนและนำเสนอได้อย่างดีเยี่ยม โดยมีตั้งแต่ดัชนีพื้นฐานอย่าง MSCI World Index (ดัชนีหุ้นโลก) ซึ่งมีให้เห็นกันโดยทั่วไปในหมู่การลงทุน

วัตถุประสงค์ 

  • สามารถนำมาใช้เป็นเกณฑ์เทียบเคียงหรือ Benchmark สำหรับวัดผลการดำเนินงานของกองทุน หรือการลงทุนของตนเองได้
  • นำมาใช้หาไอเดียการลงทุนในธีมประเทศต่างๆ และหุ้นที่มีขนาดหลากหลาย สำหรับนักลงทุนที่ใช้ปัจจัยทางด้านราคามาเกี่ยวข้อง เช่น ใช้ดูโมเมนตัมราคาของธีมการลงทุนต่างๆ เพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจ
  • ใช้ดูสัดส่วนการลงทุนตามภูมิภาคหรือเซ็กเตอร์หุ้นต่างๆ เช่น หากคนพูดถึงดัชนีหุ้นโลก อาจเสิร์ชหา MSCI World Index ว่า มีหุ้นอะไรประกอบอยู่บ้าง และอาจนำไปต่อยอดการลงทุนของตนเอง หรือใช้เทียบกับกองทุนที่จะลงทุน
  • ใช้สำหรับดูปัจจัยต่างๆ ของเซ็กเตอร์ที่สนใจจะลงทุนเฉพาะกลุ่ม

MSCI มีกี่ประเภท อะไรบ้าง?

  • ดัชนี MSCI มีการแบ่งเป็นหลายประเภทสินทรัพย์ ในประเภทของหุ้นเอง จะแบ่งตามประเทศ เช่น ประเทศอเมริกา ประเทศจีน รวมถึงประเทศไทยด้วย ใช้ชื่อว่า MSCI Thailand Index หรือแบ่งตามภูมิภาค เช่น โซนอเมริกา ยุโรป เอเชีย หรือแบ่งตามกลุ่มของประเทศที่พัฒนาแล้ว (Developed Markets) และประเทศที่กำลังพัฒนา (Emerging Markets)
  • โดยจะคัดหุ้นที่มีขนาดใหญ่และสภาพคล่องสูง มูลค่าประมาณ 85% ของมูลค่าของหุ้นทั้งหมดในประเทศ ออกมาเป็นหนึ่งในองค์ประกอบดัชนีของประเทศนั้นๆ
  • ซึ่งนอกจากหุ้นแล้วยังมีสินทรัพย์ประเภทอื่นที่ใช้วัด เช่น ตราสารหนี้ ตลาดเงิน รวมถึงอสังหาริมทรัพย์

ต่างกับดัชนีหุ้น SET หรือไม่?

ก็ต้องตอบว่าต่างกันที่กฎเกณฑ์ในการคัดกรองหุ้น และวิธีการคำนวณที่แตกต่างกัน โดย SET Index จะคำนวณจากหุ้นทั้งหมดที่มาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อสะท้อนความเคลื่อนไหวภาพรวมของตลาดหุ้นไทย หรือพูดให้ง่ายๆ คือ ตลาดหุ้นไทย มักจะถูกให้น้ำหนักโดยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap.) ดังนั้น จะเห็นได้ว่า หุ้นตัวไหนที่มีขนาดใหญ่ในตลาดหุ้น เมื่อขึ้นหรือลงแรงๆ จะส่งผลต่อดัชนีหุ้น SET ไปด้วยเช่นกัน

หุ้นบิ๊กแคปไทยติดดัชนี MSCI Thailand

โดยหุ้นขนาดใหญ่ 10 อันดับแรกที่ติดโผ ดัชนี MSCI Thailand ได้แก่

  • บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT
  • บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS
  • บริษัท ซีพี ออลล์ จํากัด (มหาชน) หรือ CPALL
  • บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC
  • บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT
  • บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA
  • บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC
  • บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP
  • บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH
  • บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN

เกณฑ์ในการคัดเลือกหุ้นเข้าคำนวณดัชนี
การจัดทำดัชนีของแต่ละประเทศ เช่น ดัชนี MSCI Thailand จะไม่นำมูลค่าของหลักทรัพย์ทุกตัวในตลาดทั้งหมดมาใช้  แต่จะคัดเลือกหลักทรัพย์มามูลค่าประมาณ 85% ของมูลค่าตลาดของหลักทรัพย์ทั้งหมดในประเทศเท่านั้น

  • หุ้นนั้นต้องมีสภาพคล่องในการซื้อขายสูง ซึ่งสภาพคล่องจะพิจารณาจากมูลค่าการซื้อขายหุ้นในรอบปีโดยเฉลี่ยเทียบกับมูลค่าตลาดของหุ้นนั้น
  • ต้องมี Free Float ขั้นต่ำ 15%
  • มีมูลค่าตลาด (Market Capitalization) เมื่อคูณด้วย Free Float เป็นเปอร์เซ็นต์แล้วสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนด โดยแต่ละประเทศก็จะกำหนดไม่เท่ากัน ส่วนในประเทศไทยหุ้นของบริษัทที่จะเข้าเกณฑ์ต้องมีมูลค่าตลาดขั้นต่ำ 250 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

แล้วความหมายของ Free Float คืออะไร

ในกรณีของ MSCI จะนับเฉพาะจำนวนหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติสามารถถือครองได้ ซึ่งเรียกว่า Foreign Inclusion Factor (FIF) เช่น หุ้น ABC ซึ่งมีมูลค่าตามราคาตลาด เท่ากับ 10,000 ล้านบาท แต่ถ้าหากหุ้นดังกล่าวมีส่วนที่ชาวต่างชาติสามารถจะถือครองได้เพียง 40% มูลค่าตามราคาตลาดของหุ้นดังกล่าวที่สามารถนำมาคำนวณเป็นมูลค่าตลาดของแต่ละประเทศจะเป็นเพียงแค่ 4,000 ล้านบาทเท่านั้น