ตลาดหุ้นไทยวันนี้ 19 ธ.ค. สร้างฐานใหม่ วางกรอบ 1,380-1,410 จุด

19 ธ.ค. 2567 | 02:35 น.
อัปเดตล่าสุด :19 ธ.ค. 2567 | 02:35 น.

บล.ลิเบอเรเตอร์ คาด SET Index วันนี้สร้างฐาน ในกรอบ 1,380-1,410 จากผลประชุม FED สร้างความกังวลให้กับตลาดจากแนวโน้มดอกเบี้ยสหรัฐฯปี 68 ลดลงช้ากว่าคาด ในประเทศยังขาดปัจจัยใหม่หนุน กลยุทธ์มองจังหวะย่อสะสมหุ้นที่ได้รับการคัดเข้าดัชนี SET50/100 รอบใหม่ วันนี้แนะ COCOCO

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด (Liberator) ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยวันนี้ 19 ธ.ค. 67 คาดว่าเป็นการสร้างฐานใหม่ ในกรอบ 1,380-1,410 จุด โดยวานนี้ ประชุม กนง. มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.25% ตามคาด

ทั้งนี้ มองว่าประเมินเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวใกล้เคียงคาด หนุนจากภาคบริการที่ขยายตัวดี ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรมยังฟื้นช้า อีกทั้งยังมีโอกาสเผชิญความท้าทายที่สูงขึ้นจากการแข่งขันภายนอก และความไม่แน่นอนช่วงถัดไป โดย กนง. ประเมิน GDP ไทยปีนี้และปีหน้าที่ 2.7% และ 2.9% 

ส่วนการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ตามคาด สู่กรอบ 4.25-4.50% เป็นการปรับลดดอกเบี้ยติดต่อกันเป็นครั้งที่ 3 โดยประเมินเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังขยายตัวแข็งแกร่ง อัตราเงินเฟ้อยังมีโอกาสเข้าสู่เป้าหมาย ขณะที่การจ้างงานชะลอ และอัตราว่างงานปรับขึ้นแต่ยังอยู่ในระดับต่ำ

ด้าน Dot Plot รอบนี้บ่งชี้โอกาสการปรับลดดอกเบี้ยปีหน้าที่ช้าลงกว่าเดิม ประเมินค่ากลางของปี 68-69 ที่ 3.875% และ 3.375% ตามลำดับ สะท้อนโอกาสปีหน้าลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ซึ่งน้อยกว่า Dot Plot เดือน ก.ย. ที่คาดลด 4 ครั้ง และน้อยกว่าตลาดคาดที่ 3 ครั้ง เพิ่มแรงกดดันต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯย่อแรงในวานนี้ 

ส่วนตลาดหุ้นไทยประกาศหุ้นเข้า-ออก SET50/100 รอบใหม่ ซึ่งจะเริ่มใช้จริง 1 ม.ค. 68 สำหรับหุ้นเข้า SET50 ได้แก่ BANPU, CCET, COM7, SAWAD และหุ้นออก SET50 ได้แก่ BCP, CENTEL, EA, TIDLOR ส่วนด้าน SET100 หุ้นเข้า ได้แก่ CCET, COCOCO, JTS, PR9 และหุ้นออก SET100 ได้แก่ MBK, RBF, TIPH, TOA ประเมินจังหวะย่อเป็นโอกาสสะสมหุ้นเข้าดัชนีรอบใหม่

ปัจจัยที่ต้องจับตา

19 ธ.ค. 67

  • GDP ไตรมาส 3/67 สหรัฐฯ (ครั้งที่ 3), ผู้ขอรับสวัสดิการ
  • ว่างงานรายสัปดาห์ US, ยอดขายบ้านมือสอง,               
  • การประชุม BOJ, การประชุม BOE

20 ธ.ค. 67

  • US Core PCE, ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค สหรัฐฯ &  ยูโรโซน
  • FTSE Rebalancing, ดัชนี CPI ญี่ปุ่น, 
  • Loan Prime Rate ของจีน

หุ้นเด่นแนะนำ

COCOCO ราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 13.40 บาท คาดแนวโน้มกำไรไตรมาส 4/67 ลุ้นฟื้นตัวทั้งจากไตรมาสก่อน และจากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน แรงหนุนจากยอดส่งออกน้ำมะพร้าวที่ขยายตัวเด่นต่อเนื่อง สอดคล้องกับการเพิ่มการผลิตในช่วงที่ผ่านมา อีกทั้งทิศทางค่าเงินบาทกลับมาอ่อนค่าเมื่อเทียบกับปิดในช่วงสิ้นไตรมาส 3/67 ส่วนกำไรปีหน้ายังคาดเติบโตเด่น 42% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน ตามการขยายกำลังการผลิต และการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ผสานกับล่าสุดได้รับเลือกให้เข้าดัชนี SET100 เพิ่มจิตวิทยาบวก

SGC ราคาเป้าหมาย 1.96 บาท คาดกำไรครึ่งหลังปี 67 จะเร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการเติบโตของโครงการ SG Finance+ ซึ่งเป็นการปล่อยสินเชื่อมือถือที่สามารถล็อกได้หากผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งจะทำให้ NPL Ratio อยู่ในระดับต่ำ ผสานกับการปลดล็อกการเพิ่มทุน จะหนุนให้ SGC ผ่อนคลายดอกเบี้ยจ่าย และมีเม็ดเงินเพิ่มเติมในการปล่อยสินเชื่อ หนุนปี 68 กำไรจะเติบโตแบบก้าวกระโดด 

MTC รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/67 ที่ 1,491 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และขยายตัว 3% จากไตรมาสก่อน ทำจุดสูงสุดใหม่ แรงหนุนจากพอร์ตสินเชื่อที่ขยายตัว 3% จากไตรมาสก่อน และเติบโต 15% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน ผสานกับคุณภาพสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้น โดยหนี้ Stage 2 ลดลงสู่ระดับ 8% ของสินเชื่อรวม จาก 9% ในไตรมาส 2/67 และอัตราส่วน NPL ลดลงสู่ระดับ 2.82% จาก 2.88%

AP ราคาเป้าหมาย 11.5 บาท คาดกำไรไตรมาส 4/67 จะขยายตัวทั้งจากไตรมาสก่อน และจากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อนทำจุดสูงสุดของปี จากการรอโอน backlog ในไตรมาส 4 ที่สูงราว 1.18 หมื่นล้านบาท ผสานแผนเปิดโครงการใหม่ในไตรมาส 4/67 กว่า 13 โครงการ มูลค่าราว 1.8 หมื่นล้านบาท ส่วนภาพปี 2025 คาดกลับมาเติบโตได้ 9% โดย Valuation ปัจจุบันเทรด PE2025 ที่เพียง 4.8 เท่า ขณะคาดอัตราปันผลสูงราว 7% ต่อปี  

DOHOME ราคาเป้าหมาย 12 บาท แนวโน้มยอดขายสาขาเดิมในช่วงเดือน ต.ค. และ พ.ย. มีทิศทางขยายตัว หนุนโอกาส SSSG ในช่วงไตรมาส 4/67 พลิกกลับมาเป็นบวก แรงหนุนจากเงินเบิกจ่ายภาครัฐฯที่กลับมาเร่งตัวขึ้น ผสานการซ่อมแซมบ้าน หลังผ่านพ้นเหตุการณ์น้ำท่วมในช่วงไตรมาส 3/67 อีกทั้งยังคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นก็มีแนวโน้มขยายตัวขึ้น กว่าในช่วงไตรมาส 3/67 จากราคาเหล็กที่เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น

AMATA คาดแนวโน้มกำไรไตรมาส 4/67 ยังคงขยายตัวได้ดี โดยประเมินยอดโอนที่ดินคาดจะสูงขึ้น โดยมี Backlog ล่าสุดสูงราว 1.94 หมื่นล้านบาท แรงหนุนจากความตึงเครียดระหว่างประเทศ คาดจะหนุนโอกาสการย้ายฐานการผลิตจากจีนและไต้หวันเข้าสู่ไทยมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเห็นสัญญาณของอัตรากำไรขั้นต้นที่มีทิศทางที่ขยับสูงขึ้นเป็นแรงหนุนเพิ่มเติม

WHA ยังมีมุมมองเชิงบวกจากการลงทุนในไทยปี 67 ที่มีทิศทางที่ดีขึ้น สอดคล้องกับมูลค่า FDI ปี 66 ที่เติบโตกว่า 73% จากเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน โดยนักลงทุนจีนเข้ามาสูงสุด จากอุตสาหกรรม EV บริษัทตั้งเป้าปี 67 นี้ ธุรกิจโลจิสติกเพิ่มอีก 2 แสน ตร.ม. ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม จะขยายเพิ่มอีก 2,070 ไร่ รวมทั้งจะมีการขยายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์รวม 2.13 แสน ตร.ม.