นายปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจในปี 68 บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการเฝ้าติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจ ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด และดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง พร้อมปรับกลยุทธ์และแผนต่างๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
เพื่อให้สามารถสร้างการเติบโตให้กับภาพรวมการดำเนินธุรกิจได้อย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการดำเนินงานภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานภาครัฐ ตามหลักธรรมาภิบาล ขณะที่ยังคงยึดมั่นแนวคิดการดำเนินธุรกิจเพื่อส่งเสริมและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน ผ่านการให้บริการทางการเงินที่เข้าถึงได้ เป็นธรรม และโปร่งใส
ซึ่งถือเป็นสิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจ คือการส่งเสริมให้ลูกค้าและประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างยั่งยืน โดยจะเห็นได้จากปีที่ผ่านมาบริษัทช่วยสร้างเครดิตทางการเงินให้ลูกค้ามากกว่า 362,000 ราย ส่งเสริมให้คนไทยสามารถเข้าถึงความคุ้มครองด้านประกันภัยได้มากกว่า 999,000 ราย
นอกจากนี้ยังตระหนักถึงความสำคัญด้านการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจและบริการ การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และการรับผิดชอบต่อชุมชนและสังคม อย่างต่อเนื่องอีกด้วย
ขณะที่ความคืบหน้าของการปรับโครงสร้างการถือหุ้นและการจัดการของบริษัทนั้น ในตอนนี้ทางสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ได้อนุมัติคําขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ที่ออกใหม่พร้อมกับการทําคําเสนอซื้อหลักทรัพย์เดิมของ ติดล้อ โฮลดิ้งส์ แล้ว
และผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ได้รับอนุญาตในการตอบรับคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของ ติดล้อ โฮลดิ้งส์ จากหน่วยงานที่กำกับดูแลแล้ว โดยปัจจุบัน ติดล้อ โฮลดิ้งส์ อยู่ระหว่างกระบวนการให้แบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนมีผลใช้บังคับ ซึ่งคาดว่ากระบวนการแลกหุ้น (Tender Offer) จะเกิดขึ้นภายในช่วงครึ่งแรกของปี 68 นี้
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 67 บริษัทสามารถทำกำไรสุทธิสูงสุดใหม่ที่ 4,230.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.6% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน เนื่องมาจากการเติบโตของรายได้จากการขยายตัวของทั้งธุรกิจสินเชื่อ การเพิ่มขึ้นของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ รวมถึงการเติบโตที่แข็งแกร่งของธุรกิจนายหน้าประกัน
โดยในปี 67 บริษัทมีรายได้รวม 22,160.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.8% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน ซึ่งรายได้หลักมาจากรายได้ดอกเบี้ยรับ และรายได้จากค่าธรรมเนียมและบริการ สำหรับผลการดำเนินธุรกิจสินเชื่อ ณ สิ้นปี 67 บริษัทมีพอร์ตสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 103,933.7 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 6.6% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และควบคุมคุณภาพสินเชื่อได้ดี NPL ปรับลดลงมาอยู่ที่ 1.81%
นอกจากนี้บริษัทยังมีเบี้ยประกันวินาศภัยรวมมูลค่า 10,176.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.4% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการผสมผสานการดำเนินธุรกิจนายหน้าประกันอย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 4/67 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,044.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.9% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และเพิ่มขึ้น 5.4% จากไตรมาสก่อน โดยการเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3/67 ส่วนใหญ่มาจากการลดลงของผลขาดทุนด้านเครดิต ที่ปรับลดลง 30.2% จากไตรมาสก่อน รวมถึงรายได้รวมที่เติบโตขึ้นจากการกลับมาขยายตัวของพอร์ตสินเชื่อ หลังจากที่ชะลอตัวในไตรมาสก่อนหน้า และเบี้ยประกันวินาศภัยที่เติบโตในระดับสูงที่ 23.8% จากไตรมาสก่อน
ภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปี 67 ที่ผ่านมา บริษัทมีจำนวนสาขาทั้งสิ้น 1,778 แห่ง และยังคงให้ความสำคัญกับการใช้จุดแข็งด้านเทคโนโลยีที่สร้างและพัฒนามามากกว่า 10 ปี ทั้งด้านสินเชื่อ โดยมี “บัตรติดล้อ” ข้อมูล ณ เดือน ธ.ค. 67 ได้ส่งมอบบัตรติดล้อให้กับลูกค้าแล้วมากกว่า 735,000 ใบ เพิ่มขึ้น 14% เทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน
และยังมีบริการ “โอนเงินสินเชื่อเข้าบัญชีผ่านแอปพลิเคชันเงินติดล้อ” ซึ่งที่ผ่านมาลูกค้ามีการเบิกวงเงินสินเชื่อผ่านบริการดังกล่าวสูงถึง 70% เมื่อเทียบกับช่องอื่นๆ สะท้อนถึงความสำเร็จของกลยุทธ์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจสินเชื่อ และการยกระดับบริการทางการเงิน ด้วยเป้าหมายเพื่อช่วยลูกค้าลดต้นทุนในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ อีกทั้งยังช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงเงินทุนเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินได้สะดวกยิ่งขึ้น
ขณะที่การดำเนินธุรกิจนายหน้าประกัน ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นผลมาจากการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีด้านนายหน้าประกัน (InsurTech Platform) ทำให้บริษัทสามารถนำเสนอขายผลิตภัณฑ์และบริการที่เข้าถึงได้และครอบคลุมความต้องการที่หลากหลายของกลุ่มลูกค้า ได้แก่
"การดำเนินธุรกิจในปี 67 ที่ผ่านมา แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะอยู่ในช่วงฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่บริษัทยังคงมีศักยภาพสามารถสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจได้อย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง โดยธุรกิจนายหน้าประกันมีเบี้ยประกันวินาศภัยรวมมูลค่ามากกว่า 1 หมื่นล้านบาท และธุรกิจสินเชื่อมีพอร์ตสินเชื่อคงค้างมากกว่า 1 แสนล้านบาท ขณะที่คุณภาพพอร์ตสินเชื่อรวมของบริษัทอยู่ในระดับที่ดีและควบคุมได้ โดย NPL Ratio ณ สิ้นปีอยู่ที่ 1.81% ปรับตัวลดลงและยังคงอยู่ภายในกรอบเป้าหมายที่กำหนดไว้ไม่เกิน 2.0%"
ทั้งนี้ จากอัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ ที่ลดลงนั้น เป็นผลมาจากคุณภาพของสินเชื่อที่ปล่อยใหม่มีแนวโน้มที่ดีขึ้นกว่าปี 2566 จากการปรับนโยบายการอนุมัติสินเชื่อ และการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการติดตามหนี้ผ่านการปรับกลยุทธ์ โดยจัดสรรทรัพยากรสาขาเพื่อสนับสนุนการติดตามหนี้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะที่ยังคงอัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (%NPL Coverage) ในระดับแข็งแกร่งที่ 242.7%
ด้วยความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมา ควบคู่กับประสิทธิภาพในการบริหารโครงสร้างเงินทุน ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 2.5 เท่า ขณะที่บริษัทมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีวงเงินกู้ยืมคงเหลืออีกมากกว่า 26,000 ล้านบาท และมีความสามารถในการชำระคืนเงินกู้ได้เป็นอย่างดี
ส่งผลให้การออกหุ้นกู้ในปีที่ผ่านมาได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี โดยมียอดแสดงความจำนงในการจองเกินกว่ายอดที่เสนอขาย (Oversubscription) ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการได้รับอันดับเครดิตที่ “A/Stable” จากทริสเรทติ้ง ซึ่งถือเป็นระดับสูงที่สุดเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการในธุรกิจเดียวกันอีกด้วย