นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ต้องยอมรับว่าสภาวะตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันมีความผันผวนและความไม่แน่นอนอยู่มาก จากหลายปัจจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ และยังไม่มีแนวโน้มที่จะคลี่คลายได้ในระยะเวลาอันสั้น
ส่งผลทำให้บรรยากาศก็ดูไม่เอื้อต่อการลงทุนมากนัก โดยรวมแล้วดัชนีตลาดหุ้นไทยนับตั้งแต่ต้นปี 68 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันก็ยืนแดนลบเสียเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ในตอนนี้ตลาดหุ้นไทยมีการซื้อขายด้วยมูลค่าที่ไม่แพง Forward P/E อยู่ที่ 13-16 เท่า และคาดการณ์กำไรต่อหุ้น (Earnings Per Share : EPS) ที่ระดับ 96 บาทต่อหุ้น
โดยประเมินแนวรับดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ระดับ 1,248-1,252 จุด มีโอกาสจะเห็นการกลับตัวหรือดีดตัวขึ้น แต่อย่างไรก็ดีหากประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนออกมาไม่ดีขึ้น การฟื้นตัวก็อาจเป็นแค่ในเชิงเทคนิคเคิลรีบาวนด์หลังร่วงไปหลายวัน ทั้งนี้ คาดกรอบดัชนีแนวต้านไว้ที่ระดับ 1,310-1,350 จุด
ในระยะนี้มองว่าสัญญาณกระแสเงินลงทุนต่างชาติยังมีแนวโน้มไหลออกอย่างต่อเนื่อง หลักๆ เป็นเพราะในขณะนี้ตลาดหุ้นไทยต้องยอมรับว่ายังไม่มีความน่าสนใจใหม่ๆ เข้ามาช่วยสร้างสีสัน แม้ว่า Valuation ตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับที่ไม่แพง แต่ก็ไม่มีเม็ดเงินใหม่ๆ ใส่เข้ามาเพิ่มเติม
โดยหลักแล้วเป็นเพราะคนที่มีเงินอยู่ในมือก็นำไปลงทุนยังตลาดต่างประเทศที่ให้ผลตอบแทนที่ดีและสูงกว่า ขณะเดียวกันคนที่มีหุ้นไทยอยู่ในมือก็รอจังหวะทยอยขายออก เพื่อลดความเสี่ยงของการลงทุนในช่วงที่ตลาดเป็นขาลง และดูท่านี้แล้วการฟื้นตัวคงทำได้ไม่ง่ายดายนัก และจับตารอดูปัจจัยหนุนใหม่ๆ ที่ภาครัฐจะใส่เข้ามาเสริมความคาดหวัง
คำแนะนำการลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนและไม่แน่นอนสูง การลงทุนในระนะนี้แม้จะดูมีความเสี่ยงมากหน่อยแต่ก็ยังพอทำได้ แนะนำลดความคาดหวัง Upside หาข้อจำกัด Downside และโดยเฉพาะหุ้นที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลในระดับทีราว 4-5% มี P/E ที่ราว 10-15 เท่า มีความน่าสนใจ
ขณะที่นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากการเร่งเดินหน้าดำเนินการตามนโยบายหาเสียงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ บทแรกการปรับขึ้นภาษีประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐฯสูง เจาะจงไปที่ เม็กซิโก แคนาดา และจีน เป็นต้น
เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่าเพื่อบีบให้ประเทศเหล่านี้มีการสกัดกั้นเพิ่มความเข้มงวดชายแดนตนเองเพิ่มมากขึ้น และสังเกตได้ว่า "ทรัมป์" ได้เปิดโอกาสมีการเจรจาต่อรองข้อตกลงได้ เป็นเรื่องที่ทำให้คิดได้ว่าการขึ้นกำแพงภาษีเป็นเพียงข้ออ้าง วัตถุประสงค์คือต้องการบลัฟคนอื่นมากกว่า โดยที่ฝั่งสหรัฐฯ ไม่เสียอะไรเลย อีกทั้งยังสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างเฉียบพลัน
มองว่า "ทรัมป์" ยังเป็นบุคคลที่มีความไม่แน่นอน และสร้างความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจสูง ส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เองก็จำเป็นที่จะต้องเพิ่มความระมัดระวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงด้วยในปีนี้ ซึ่งแน่นอนว่าไทยย่อมได้รับผลกระทบดังกล่าวตามไปด้วย
และด้วยความไม่แน่นอนนี้ส่งผลให้ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) มีความผันผวนอย่างมาก จากการไหลออกของเงินทุนต่างประเทศ อีกทั้งดัวความผันผวนนี้ยังไม่มีท่าทีที่จะสงบลง ทำให้ความน่าสนใจในการลงทุนลดลงตามไปด้วย โดยเฉพาะในตลาดหุ้นไทย ที่เรียกได้ว่าความเชื่อมั่นก็น้อยมากอยู่แล้ว
"ย้อนกลับไปดูสถิติการลงทุนของต่างประเทศนั้น จะพบว่า นับตั้งแต่ช่วงต้นปี 2566 เป็นต้นมาทุนต่างชาติมีการขายหุ้นไทยออกอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าในปีนั้นจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเริ่มเปิดประเทศและการเดินทาง การท่องเที่ยวเริ่มกลับมา เศรษฐกิจจะฟื้นตัวดีขึ้น ค้าปลีกกลับมามีความคึกคัก สะท้อนให้เห็นว่า ทุนต่างชาติเริ่มเห็นสัญญาณผิดปกติบางอย่างของไทย"
ทั้งนี้ มองว่าปัจจัยเชิงบวกที่จะเข้ามาสนับสนุนตลาดหุ้นไทยเป็นตัวช่วยในระยะสั้นๆ เช่น การลดดอกเบี้ยของ กนง. รวมถึงการจัดตั้งกองทุนรวม LTF ให้มาอยู่ในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) เชื่อว่าจะช่วยเข้ามากระตุ้นเม็ดเงินใหม่ๆ ใส่เข้ามายังตลาดหุ้นไทยได้เพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ดี มองว่าเม็ดเงินใหม่ที่ใส่เข้ามานั้นอาจไม่ได้มากมายนัก
ประเมินกรอบดัชนีตลาดหุ้นไทยในปี 2568 ไว้ที่กรอบ 1,250-1,400 จุด มองว่าในช่วงเวลานี้ตลาดหุ้นไทยยังดูมีความเสี่ยงและไม่แนะนำให้ลงทุน โดยจากนี้ก็ต้องจับตาดูว่าปัจจัยใหม่ที่เข้ามาเสริมความเชื่อมั่นตลาดหุ้นไทยนั้นมีมากน้อยแค่ไหน หากว่าสร้างความเชื่อมั่นได้จริงก็อาจเป็นการปรับฐานใหม่
แต่หากไม่ก็อาจเป็นเพียงการรีบาวด์สั้นๆ สำหรับคำแนะนำการลงทุนตลาดหุ้นไทยในระยะนี้นั้น แนะนำทยอยขายทำกำไร เก็บเงินสด ในระหว่างนี้ก็ให้เกลี่ยพอร์ตลงทุน รอช่วงเวลาทยอยขายเพื่อรอเวลาปรับพอร์ตการลงทุนใหม่อีกครั้ง