นักลงทุนเตรียมตั้งรับตลาดหุ้นผันผวน กูรูงัดไม้เด็ดการลงทุน

13 ก.พ. 2568 | 00:00 น.
อัปเดตล่าสุด :13 ก.พ. 2568 | 01:00 น.

โบรกลงความเห็นตลาดหุ้นไทยผันผวน ชี้มีแนวโนมซึมตัวยาว ไร้ปัจจัยใหม่หนุน เงินทุนต่างชาติไหลออกต่อเนื่อง ความเชื่อมั่นลดน้อยถอยลง แนะจับตาลุ้นมาตรการรัฐกระตุ้นเม็ดเงินใหม่ พร้อมวางกรอบดัชนี SET Index ไว้ที่ 1,250-1,400 จุด

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ต้องยอมรับว่าสภาวะตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันมีความผันผวนและความไม่แน่นอนอยู่มาก จากหลายปัจจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ และยังไม่มีแนวโน้มที่จะคลี่คลายได้ในระยะเวลาอันสั้น

ส่งผลทำให้บรรยากาศก็ดูไม่เอื้อต่อการลงทุนมากนัก โดยรวมแล้วดัชนีตลาดหุ้นไทยนับตั้งแต่ต้นปี 68 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันก็ยืนแดนลบเสียเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ในตอนนี้ตลาดหุ้นไทยมีการซื้อขายด้วยมูลค่าที่ไม่แพง Forward P/E อยู่ที่ 13-16 เท่า และคาดการณ์กำไรต่อหุ้น (Earnings Per Share : EPS) ที่ระดับ 96 บาทต่อหุ้น

โดยประเมินแนวรับดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ระดับ 1,248-1,252 จุด มีโอกาสจะเห็นการกลับตัวหรือดีดตัวขึ้น แต่อย่างไรก็ดีหากประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนออกมาไม่ดีขึ้น การฟื้นตัวก็อาจเป็นแค่ในเชิงเทคนิคเคิลรีบาวนด์หลังร่วงไปหลายวัน ทั้งนี้ คาดกรอบดัชนีแนวต้านไว้ที่ระดับ 1,310-1,350 จุด

ในระยะนี้มองว่าสัญญาณกระแสเงินลงทุนต่างชาติยังมีแนวโน้มไหลออกอย่างต่อเนื่อง หลักๆ เป็นเพราะในขณะนี้ตลาดหุ้นไทยต้องยอมรับว่ายังไม่มีความน่าสนใจใหม่ๆ เข้ามาช่วยสร้างสีสัน แม้ว่า Valuation ตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับที่ไม่แพง แต่ก็ไม่มีเม็ดเงินใหม่ๆ ใส่เข้ามาเพิ่มเติม

โดยหลักแล้วเป็นเพราะคนที่มีเงินอยู่ในมือก็นำไปลงทุนยังตลาดต่างประเทศที่ให้ผลตอบแทนที่ดีและสูงกว่า ขณะเดียวกันคนที่มีหุ้นไทยอยู่ในมือก็รอจังหวะทยอยขายออก เพื่อลดความเสี่ยงของการลงทุนในช่วงที่ตลาดเป็นขาลง และดูท่านี้แล้วการฟื้นตัวคงทำได้ไม่ง่ายดายนัก และจับตารอดูปัจจัยหนุนใหม่ๆ ที่ภาครัฐจะใส่เข้ามาเสริมความคาดหวัง

คำแนะนำการลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนและไม่แน่นอนสูง การลงทุนในระนะนี้แม้จะดูมีความเสี่ยงมากหน่อยแต่ก็ยังพอทำได้ แนะนำลดความคาดหวัง Upside หาข้อจำกัด Downside และโดยเฉพาะหุ้นที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลในระดับทีราว 4-5% มี P/E ที่ราว 10-15 เท่า มีความน่าสนใจ 

หุ้นเด่นแนะนำ

  • หุ้นกลุ่มอาหาร BTG TFG มองว่ากำไรไตรมาส 4/67 จะออกมาดี อีกทั้งในปี 68 มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง P/E อยู่ในระดับที่ไม่แพง และ M ที่อยู่ในจุดก้ำกึ่ง รอดูผลงานถึงจุดต่ำสุดหรือยัง เป็นผลจากกำลังซื้อที่ชะลอตัว การแข่งขันในอุตสาหกรรมที่สูง แต่จุดเด่น คือ กระแสเงินสุดที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง 15% มีโอกาสที่จะนำเงินสดที่มีมาลงทุนต่อยอดธุรกิจ หรือแบ่งส่วนมาจ่ายเงินปันผล
  • หุ้นโรงไฟฟ้า มองว่า EGCO และ RATCH มีความน่าสนใจ เนื่องจาก P/E อยู่ในระดับที่ต่ำ ขณะเดียวกันก็จ่ายเงินปันผลที่สูงกว่า 6%
  • หุ้นกลุ่มรีเทล มองว่า CPN ได้รับอานิสงส์จากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว กำลังซื้อและการจับจ่ายใช้สอยอยู่ในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง P/E อยู่ที่ราว 13 เท่า และจ่ายเงินปันผลระดับ 5%
  • หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว มองว่า ERW SPA และ AOT มีความน่าสนใจ จากจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 68 อย่างไรก็ดี มองกลยุทธ์ลงทุน ทยอยซื้อ เมื่อราคาอ่อนตัว 

ขณะที่นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากการเร่งเดินหน้าดำเนินการตามนโยบายหาเสียงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ บทแรกการปรับขึ้นภาษีประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐฯสูง เจาะจงไปที่ เม็กซิโก แคนาดา และจีน เป็นต้น

เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่าเพื่อบีบให้ประเทศเหล่านี้มีการสกัดกั้นเพิ่มความเข้มงวดชายแดนตนเองเพิ่มมากขึ้น และสังเกตได้ว่า "ทรัมป์" ได้เปิดโอกาสมีการเจรจาต่อรองข้อตกลงได้ เป็นเรื่องที่ทำให้คิดได้ว่าการขึ้นกำแพงภาษีเป็นเพียงข้ออ้าง วัตถุประสงค์คือต้องการบลัฟคนอื่นมากกว่า โดยที่ฝั่งสหรัฐฯ ไม่เสียอะไรเลย อีกทั้งยังสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างเฉียบพลัน

มองว่า "ทรัมป์" ยังเป็นบุคคลที่มีความไม่แน่นอน และสร้างความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจสูง ส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เองก็จำเป็นที่จะต้องเพิ่มความระมัดระวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงด้วยในปีนี้ ซึ่งแน่นอนว่าไทยย่อมได้รับผลกระทบดังกล่าวตามไปด้วย

และด้วยความไม่แน่นอนนี้ส่งผลให้ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) มีความผันผวนอย่างมาก จากการไหลออกของเงินทุนต่างประเทศ อีกทั้งดัวความผันผวนนี้ยังไม่มีท่าทีที่จะสงบลง ทำให้ความน่าสนใจในการลงทุนลดลงตามไปด้วย โดยเฉพาะในตลาดหุ้นไทย ที่เรียกได้ว่าความเชื่อมั่นก็น้อยมากอยู่แล้ว

"ย้อนกลับไปดูสถิติการลงทุนของต่างประเทศนั้น จะพบว่า นับตั้งแต่ช่วงต้นปี 2566 เป็นต้นมาทุนต่างชาติมีการขายหุ้นไทยออกอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าในปีนั้นจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเริ่มเปิดประเทศและการเดินทาง การท่องเที่ยวเริ่มกลับมา เศรษฐกิจจะฟื้นตัวดีขึ้น ค้าปลีกกลับมามีความคึกคัก สะท้อนให้เห็นว่า ทุนต่างชาติเริ่มเห็นสัญญาณผิดปกติบางอย่างของไทย"

ทั้งนี้ มองว่าปัจจัยเชิงบวกที่จะเข้ามาสนับสนุนตลาดหุ้นไทยเป็นตัวช่วยในระยะสั้นๆ เช่น การลดดอกเบี้ยของ กนง. รวมถึงการจัดตั้งกองทุนรวม LTF ให้มาอยู่ในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) เชื่อว่าจะช่วยเข้ามากระตุ้นเม็ดเงินใหม่ๆ ใส่เข้ามายังตลาดหุ้นไทยได้เพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ดี มองว่าเม็ดเงินใหม่ที่ใส่เข้ามานั้นอาจไม่ได้มากมายนัก

ประเมินกรอบดัชนีตลาดหุ้นไทยในปี 2568 ไว้ที่กรอบ 1,250-1,400 จุด มองว่าในช่วงเวลานี้ตลาดหุ้นไทยยังดูมีความเสี่ยงและไม่แนะนำให้ลงทุน โดยจากนี้ก็ต้องจับตาดูว่าปัจจัยใหม่ที่เข้ามาเสริมความเชื่อมั่นตลาดหุ้นไทยนั้นมีมากน้อยแค่ไหน หากว่าสร้างความเชื่อมั่นได้จริงก็อาจเป็นการปรับฐานใหม่

แต่หากไม่ก็อาจเป็นเพียงการรีบาวด์สั้นๆ สำหรับคำแนะนำการลงทุนตลาดหุ้นไทยในระยะนี้นั้น แนะนำทยอยขายทำกำไร เก็บเงินสด ในระหว่างนี้ก็ให้เกลี่ยพอร์ตลงทุน รอช่วงเวลาทยอยขายเพื่อรอเวลาปรับพอร์ตการลงทุนใหม่อีกครั้ง