SET Index เปิดตลาดดิ่งหนัก 42.38 จุด ดัชนีไหลหลุด 1,082.83 จุด

08 เม.ย. 2568 | 03:30 น.
อัปเดตล่าสุด :08 เม.ย. 2568 | 03:30 น.

ตลาดหุ้นไทยเปิดการซื้อขายวันแรกสัปดาห์นี้ ดัชนีวูบ 42.38 จุด ไหลหลุดแนวรับสำคัญมาอยู่ระดับ 1,082.83 จุด โบรกมองตลาดหุ้นไทยผันผวนสอดคล้องตามตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับฐานแรง หลังทรัมป์ประกาศภาษีตอบโต้

ตลาดหุ้นไทยเปิดการซื้อขาย 8 เม.ย.68 วันแรกของสัปดาห์นี้ ดัชนีเปิดตลาด (ณ เวลา 10.09 น.) ดิ่งหนัก 42.38 จุด ร่วงหลุดแนวรับสำคัญ 1,100 จุด ลงมายืนงงที่ระดับ 1,082.83 จุด หรือเปลี่ยนแปลง 3.77% จากปิดตลาดก่อนหน้า การแกว่งตัวดัชนีในกรอบสูงสุดและต่ำสุดที่ 1,083.75 - 1,073.43 จุด ด้วยมูลค่าซื้อขายที่ยังเบาบาง 10,033.35 ล้านบาท

5 หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด

  • GULF ราคา 40.75 บาท ลดลง 4.25 บาท เปลี่ยนแปลง 9.44% มูลค่าซื้อขาย 9.87 แสนบาท
  • KBANK ราคา 153.00 บาท ลดลง 6.50 บาท เปลี่ยนแปลง 4.08% มูลค่าซื้อขาย 8.93 แสนบาท
  • SCB ราคา 118.00 บาท ลดลง 4.50 บาท เปลี่ยนแปลง 3.67% มูลค่าซื้อขาย 6.50 แสนบาท
  • BBL ราคา 133.50 บาท ลดลง 6.50 บาท เปลี่ยนแปลง 4.64% มูลค่าซื้อขาย 5.88 แสนบาท
  • AOT ราคา 36.25 บาท ลดลง 1.00 บาท เปลี่ยนแปลง 2.68% มูลค่าซื้อขาย 4.73 แสนบาท

นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ออกมาตรการแต่ไม่มีผลกับปัจจัยพื้นฐาน ล่าสุด Dow Future แกว่งขึ้นมาบวกเป็นสัญญาณผ่อนคลายระยะสั้น แต่ภาพรวมยังเสี่ยงที่จะปรับฐานได้ต่อ เพราะเชื่อว่าเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับทั่วโลกจะยังไม่จบง่ายๆ

โดย Dow Jones เมื่อคืนปิดลบ 349 จุด (-0.9%) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับภาษีศุลกากรของ Trump จะส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอลงพร้อมกับเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 2% แตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 4 ปีจากความกังวลสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับนานาประเทศ 

ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับฐานแรงในช่วงเมื่อวานที่ผ่านมา เพราะแรงกดดันจากภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯกับประเทศต่างๆ ซึ่งบางประเทศก็ส่งสัญญาณต้องการเจรจากับสหรัฐฯ แต่บางประเทศก็ไม่ต้องการเจรจาและกลับใช้นโยบายที่เข้มงวดต่อสหรัฐฯเช่นกัน

อย่างเช่นจีนได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯครอบคลุมทุกสินค้าอีก 34% (เริ่มบังคับใช้ 10 เม.ย.) ขณะที่ฝรั่งเศสได้ประกาศระงับการลงทุนในสหรัฐฯพร้อมขอแรงจากกลุ่ม EU ในการตอบโต้สหรัฐฯจากการกระทำด้านภาษี

ทั้งนี้ บางประเทศก็ขอเข้าเจรจากับสหรัฐฯ อาทิ เวียดนาม และสหรัฐฯได้เผยว่ามีอีกหลายประเทศได้ติดต่อเข้ามาเพื่อขอเจรจา สำหรับประเทศไทยในวันที่ 8 เม.ย. คณะทำงานของรัฐบาลจะสรุปแนวทางด้านภาษีระหว่างไทยกับสหรัฐฯอีกครั้ง เบื้องต้นจะเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯในด้านพลังงาน อากาศยาน สินค้าเกษตร พร้อมเตรียมส่งรัฐมนตรีคลังไปเจรจากับสหรัฐฯ ในเร็วๆ นี้

แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจัยข้างต้นยังใช้ระยะเวลาและคงไม่น่าจะเห็นผลต่อเศรษฐกิจไทยในเร็วนี้ ทั้งนี้สิ่งอื่นใดก็คือเศรษฐกิจโลกคงเผชิญกับภาวะชะงัก เชื่อว่าผู้ประกอบการทั่วโลกจะหยุดการลงทุนท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจ แต่การหยุดการลงทุนจะนำมาซึ่งปัญหาเรื่องเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียนเสี่ยงเผชิญกับการปรับลดประมาณการเป็นปัจจัยลบต่อตลาดหุ้น

แม้หุ้นทั่วโลกรวมถึงหุ้นไทยจะปรับลงมาแล้วจนทำให้ Valuation ไม่แพงและค่อนข้างไปในทางถูกมาก (Under Value) แต่เชื่อว่าการปรับขึ้นยังเป็นไปได้ยากแนะนักลงทุนอย่าพึ่งเร่งร้อนเข้าลงทุน ล่าสุดวานนี้ตลาดหลักทรัพย์ได้ออกมาปรับเกณฑ์ Celling , Floor จาก 30% เป็น 15% พร้อมห้ามขาย Short ทุกหลักทรัพย์เป็นการชั่วคราวในระหว่างวันที่ 8 – 11 เมษายน มาตรการข้างต้นไม่มีผลกับ Upside แต่อาจช่วยจำกัด Downside เพราะ Floor ถูกจำกัดไว้

แต่ท้ายที่สุดแล้วยังให้น้ำหนักกับปัจจัยพื้นฐานมากกว่า ซึ่งยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัวที่ชัดเจนต่อให้ไม่มีปัจจัยจากทรัมป์เศรษฐกิจไทยก็ขยายตัวต่ำอยู่แล้ว ส่วนเมื่อคืนที่ผ่านมามีข่าวจากสหรัฐฯระบุว่าจะเร่งขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนเป็น 50% หากจีนยังยืนยันจะปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯที่ 34%

สัปดาห์นี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1,095 – 1,140 ระหว่างสัปดาห์ประเมินผันผวนไปตามปัจจัยต่างประเทศ หากมีข่าวปรับขึ้นภาษีก็เสี่ยงจะเกิดการปรับฐานแต่หากมีข่าวเจรจาก็อาจเห็นฟื้นตัว แต่การฟื้นตัวยังจำกัดท่ามกลางความเสี่ยงที่รออยู่ช่วงถัดไป

ดังนั้น เชิงกลยุทธ์การลงทุนนักลงทุนระยะกลาง - ยาว ยังให้สะสมแต่เน้นที่หุ้นพื้นฐานดีเช่นเดิม อาทิ ค้าปลีก (BJC CRC CPALL) ศูนย์การค้า (CPN) โรงแรม (CENTEL MINT) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB) การเงิน (MTC SAWAD) 

หุ้นเด่นแนะนำ

  • MTC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 53.00 บาท) เห็นด้วยกับบริษัทที่จะเน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพต่อเนื่องในปี 68 เพราะความท้าทายจากเศรษฐกิจฟื้นตัวช้าที่จะกดดันคุณภาพสินเชื่ออ่อนแอลงได้  คาดว่ากำไรสุทธิในปี 68 จะเติบโตแข็งแกร่ง 17.3% ในปี 2025 และ ROE เพิ่มขึ้น เป็น 17.2% ในปี 2025ด้านผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/67 กำไรสุทธิออกมาตามคาดที่ 1.54 พันล้านบาท (+14.2% จากปีก่อน, +3.5% จากไตรมาสก่อน) ด้านงบดุล NPL ratio ปรับลดลงเหลือ 2.75% และ Coverage ratio ปรับขึ้นเป็น 135.3%
  • BDMS (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 28.00 บาท) ประกาศกำไรสุทธิไตรมาส 4/67 สูงที่ 4.3 พันล้านบาท (+9% จากปีก่อน, +2% จากไตรมาสก่อน) หนุนกำไรสุทธิปี 67 เติบโตอยู่ที่ 1.6 หมื่นล้านบาท (+11% จากปีก่อน) เป็นไปตามทิศทางเดียวกับที่เราและตลาดคาด สำหรับในปี 68 คาดกำไรสุทธิเติบโตต่อเนื่องหนุนจาก 1) แผนขยายจำนวนโรงพยบาลและเตียงผู้ป่วย และ 2) การเติบโตของนักท่องเที่ยวต่างชาติ