ตลาดหุ้นไทยปิดเขียวสดใส บวก 45.77 จุด ฟื้นยืน 1,133.95 จุด

10 เม.ย. 2568 | 10:31 น.
อัปเดตล่าสุด :10 เม.ย. 2568 | 10:32 น.

SET Index ปิดบวก 45.77 จุด ดัชนีรีบาวน์ขึ้นมายืนระดับ 1,133.95 จุด มูลค่าซื้อขาย 5.02 หมื่นล้าน หลัง "ทรัมป์ "เลื่อนการเก็บภาษีนำเข้าสินค้ากับประเทศส่วนใหญ่ออกไปอีก 90 วัน มีผลทันที

ความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ 10 เ.ย.68 ปิดตลาดที่ระดับ 1,133.95 จุด เพิ่มขึ้น 45.77 จุด หรือเปลี่ยนแปลง 4.21% จากปิดตลาดก่อนหน้า ระหว่างวันดัชนีแกว่งตัวในกรอบ 1,146.86 - 1,122.95 จุด โดยมีมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 50,222.48 ล้านบาท

มูลค่าการซื้อขายแบ่งตามประเภทนักลงทุน พบ กลุ่มสถาบัน บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ และต่างประเทศ มีสถานะซื้อสุทธิ รวม 4,017.91 ล้านบาท แบ่งเป็น 1,407.23 ล้านบาท, 1,652.86 ล้านบาท และ 957.82 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนในประเทศเป็นเพียงกลุ่มเดียวที่มีสถานะขายสุทธิ 4,017.91 ล้านบาท

5 หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด

  • KBANK ราคา 152.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท เปลี่ยนแปลง 1.67% มูลค่าซื้อขาย 4,050.26 ล้านบาท
  • GULF ราคา 46.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.75 บาท เปลี่ยนแปลง 8.88% มูลค่าซื้อขาย 2,984.64 ล้านบาท
  • PTT ราคา 30.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท เปลี่ยนแปลง 0.82% มูลค่าซื้อขาย 2,686.60 ล้านบาท
  • KTB ราคา 22.70 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท เปลี่ยนแปลง 7.08% มูลค่าซื้อขาย 2,267.63 ล้านบาท
  • AOT ราคา 38.75 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท เปลี่ยนแปลง 6.90% มูลค่าซื้อขาย 2,113.13 ล้านบาท

จะเห็นได้ว่า หลังจากสหรัฐฯ เลื่อนการเก็บ Reciprocal tariffs จากประเทศส่วนใหญ่ออกไป 90 วันส่งผลให้หุ้นในกลุ่มพลังงานรีบาวน์ขึ้นมาบ้างในวันนี้ โดยสะท้อนได้จากราคาหุ้น PTT ที่เพิ่มขึ้น 0.82%

นักวิเคราะห์ บล.ไอร่า เปิดเผยว่า หลังจากสหรัฐฯ ประกาศเลื่อนการเก็บภาษีนำเข้าสินค้า (Reciprocal tariffs) กับประเทศส่วนใหญ่ออกไปอีก 90 วัน มีผลทันที เนื่องจากมีกว่า 75 ประเทศที่ติดต่อเข้ามาขอเจรจา ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยคลายความกังวลได้ในระยะสั้น หลังจาก reciprocal tariff ในอัตราสูงถึง 37% ถูกเลื่อนออกไป

ซึ่งทางการไทยอยู่ระหว่างการขอเข้าเจรจากับสหรัฐฯ ตลาดยังต้องจับตาผลการเจรจาว่าจะออกมาในรูปแบบใด โดยมีแนวทาง เช่น ลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ บางรายการ, เพิ่มการลงทุนด้านพลังงานที่สหรัฐฯ, เพิ่มการนำเข้าสินค้าที่ไม่เคยนำเข้าและลดเงื่อนไขที่เป็นอุปสรรคต่อการนำเข้า

อย่างไรก็ตาม การเจรจาดังกล่าวยังต้องคำนึงถึงด้านอื่นๆ ด้วย เช่น ด้านสินค้าบริการที่สหรัฐฯเกินดุลเป็นจำนวนมาก และด้านความมั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์ เป็นต้น แต่คาดในระยะยาวผู้ส่งออกสินค้า ต้องปรับตัวและหาตลาดใหม่ๆ เพื่อบริหารความเสี่ยงจากการพึ่งพิงตลาดสหรัฐ