TISCO เปิดผลงานไตรมาส 1/68 กำไรสุทธิ 1.64 พันล้าน หดตัว 5.2%

17 เม.ย. 2568 | 06:54 น.
อัปเดตล่าสุด :17 เม.ย. 2568 | 06:54 น.

TISCO เผยผลงานไตรมาสแรกปีนี้ กำไรสุทธิที่ 1.64 พันล้าน ลดลง 5.2% ตามรายได้ดอกเบี้ยที่หดตัวจากผลนโยบายดอกเบี้ยแบงก์ชาติ ด้าน NPLs ที่ 5.6 พันล้านเพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อน

บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ไตรมาส 1/68 มีกำไร 1,643.38 ล้านบาท ลดลง 5.2% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/67 ที่มีกำไร 1,733.02 ล้านบาท สาเหตุจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลง 2.0% อยู่ที่ 3,328.45 ล้านบาท ผลจากการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือธปท.ใน ก.พ. 68

รวมถึงการลดภาระดอกเบี้ยให้แก่ลูกหนี้กลุ่มเปราะบางในโครงการ"คุณสู้ เราช่วย" ประกอบกับสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 0.7% ของยอดสินเชื่อเฉลี่ย เพื่อรองรับการเติบโตของสินเชื่อที่มีผลตอบแทนสูง

ในขณะที่รายได้ที่มิใช่้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 3.4% อยู่ที่ 1,351.60 ล้านบาท จากการเติบโตของรายได้จากธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุน รายได้ค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์จัดการกองทุนเพิ่มขึ้น และกำไรจากเงินลงทุนที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน หรือ FVTPL ที่เพิ่มขึ้น

ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ได้รับผลกระทบจากตลาดรถยนต์ในประเทศที่ยังคงอ่อนแอ ส่งผลให้รายได้ค่าธรรมเนียมนายหน้าประกันภัยยังไม่ฟื้นตัว ด้านค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง 0.9% จากการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับเงินให้สินเชื่อของบริษัทในไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ 231,190.32 ล้านบาท ลดลง 4% จากสิ้นปีก่อน

ขณะที่ค่าใช้จ่ายผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) ในไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ 385.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันในปีก่อนและจากไตรมาสก่อน โดยค่าใช้จ่ายสำรองคิดเป็น 0.7% ของยอดสินเชื่อเฉลี่ยในช่วงที่ผ่านมา สำหรับสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต (NPLs) อยู่ที่ 5,591.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.3% จากสิ้นปีก่อน คิดเป็นอัตราส่วนสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวมที่ 2.42% ของสินเชื่อรวม

ทั้งนี้ หากเทียบกับไตรมาส 4/67 กำไรสุทธิของบริษัทลดลงจำนวน 58.43 ล้านบาท หรือ 3.4% เป็นผลมาจากรายได้รวมที่อ่อนตัวลง 2.5% และค่าใช้จ่ายสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นที่เพิ่มขึ้นจาก 0.6% มาเป็น 0.7% ของสินเชื่อเฉลี่ย โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง 2.1% จากไตรมาสก่อนหน้า ตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และการลดภาระดอกเบี้ยให้แก่ลูกหนี้ในโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” 

ส่วนรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยชะลอตัวลง 3.3%จากธุรกิจธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากธุรกิจนายหน้าประกันภัยอ่อนตัวลงตามฤดูกาลและผลจากยอดขายรถยนต์ที่ยังคงอ่อนแออีกทั้งบริษัทมีการรับรู้ค่าธรรมเนียมตามผลประกอบการของธุรกิจจัดการกองทุน (Performance Fee) ไปในไตรมาสก่อนหน้า อย่างไรก็ดี ธุรกิจที่เกี่ยวกับตลาดทุนปรับตัวดีขึ้น ทั้งธรุกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และกำไรจากพอร์ตเงินลงทุน