‘เถ้าแก่น้อย’ผนึก‘กูลิโกะ’ แก้เกมตลาดสแน็กซึม-นำร่องเพรทซ์ สาหร่าย
2 บิ๊กสแน็คเมืองไทย “กูลิโกะ-เถ้าแก่น้อย”ผนึกกำลังแก้ตลาดซึม ชี้นำร่องเป็นพาร์ทเนอร์ หวังเป็นต้นแบบแบรนด์อื่น ประเดิมส่ง “เพรทซ์ เถ้าแก่น้อย รสโนริสาหร่าย” ปูพรมวางจำหน่ายพร้อมกันทั่วประเทศจำนวนจำกัด มั่นใจขายเกลี้ยงใน 6 เดือนคาดอนาคตจับมือสร้างสิ่งใหม่ๆ กระตุ้นตลาดต่อเนื่อง
นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายสาหร่ายปรุงรส “เถ้าแก่น้อย” เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ตลาดขนมขบเคี้ยวหรือสแน็คเมืองไทยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาไม่มีการเติบโตเพิ่มขึ้น ซึ่งหากปล่อยให้ตลาดเป็นเช่นนี้จะส่งผลกระทบในด้านลบ ดังนั้นบริษัทจึงร่วมมือกับบริษัท กูลิโกะ ซึ่งเป็นผู้นำในตลาดบิสกิตพัฒนาสินค้าใหม่ออกวางจำหน่าย เพื่อเป็นการสร้างสีสัน และปลุกให้ตลาดคึกคักขึ้น
“เป็นที่รู้กันดีว่าตลาดสแน็คอยู่ในภาวะซึมตลอด 2 ปีที่ผ่านมา แม้หลายแบรนด์จะพยายามพัฒนาสินค้าใหม่ออกสู่ตลาด รวมทั้งกิจกรรมต่างๆ แต่ก็ยังไม่ดีขึ้น ดังนั้นในฐานะผู้นำตลาดสาหร่ายปรุงรสจึงมองว่า อยากจะสร้างสีสันให้ตลาด และปลุกตลาดให้กลับมาคึกคักขึ้นจึงร่วมกับกูลิโกะ ซึ่งเป็นผู้นำตลาดบิสกิตอบกรอบมาช่วยกันสร้างความแปลกใหม่ให้กับตลาด ด้วยการออกวางจำหน่ายเพรทซ์ เถ้าแก่น้อย รสโนริสาหร่าย” ซึ่งเชื่อว่าความร่วมมือกันครั้งนี้จะเป็นการส่งสัญญาณให้เห็นว่า การแข่งขันไม่ได้ช่วยให้เกิดสิ่งที่ดี แต่การร่วมมือกันสร้างสิ่งใหม่ๆ จะช่วยให้ตลาดมีสีสันและมีการเติบโตขึ้น ซึ่งความร่วมมือของเถ้าแก่น้อยกับกูลิโกะในครั้งนี้จะเป็นต้นแบบให้แบรนด์อื่นๆ ทำตามก็จะยิ่งช่วยให้ตลาดกลับมาคึกคักมากขึ้น”
จะมองว่าตลาดนี้ถึงจุดอิ่มตัวหรือไม่ ทุกอย่างอยู่ที่ไอเดียว่าผู้เล่นหลักจะทำอย่างไร จะปล่อยให้ซึมตามตลาด หรือจะพาตลาดให้เติบโตขึ้น เหมือนเรามีสวนอยู่ที่บ้าน เราเลือกที่จะดูแลเขาอย่างไร จะปล่อยให้หญ้ารก หรือจะตัดหญ้าให้สวยงาม ก็เหมือนกับตลาดสแน็กว่าผู้เล่นจะทำอย่างไร ผู้นำตลาดก็จะทำอย่างไร
ทั้งนี้เถ้าแก่น้อยและกูลิโกะต่างให้ความสำคัญกับเรื่องของการวิจัยและพัฒนา โดยผลิตภัณฑ์ให้นี้ใช้เวลาในการพัฒนาร่วมกันนานเกือบ 1 ปี เพื่อให้ได้สินค้าที่มีความลงตัวและบรรจุภัณฑ์ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและเป็นเอกลักษณ์ของความเป็นสแน็ก ที่ต้องได้ทั้งคุณภาพ และความสนุกสนาน
จุดเด่นของเพรทซ์ รสโนริสาหร่ายคือ สาหร่ายสูตรพิเศษ จากเถ้าแก่น้อยที่คิดและปรุงรสชาติขึ้นใหม่เพื่อให้มีความพิเศษ กลมกล่อม เข้มข้น เมื่อผสมผสานเป็นหนึ่งเดียวกับบิสกิตอบเพรทซ์ รวมไปถึงแพ็กเกจจิ้งที่มีความโดดเด่น และยังคงคาร์แรกเตอร์ของเถ้าแก่น้อยที่เป็นสแน็กที่ทานแล้วมีประโยชน์ มีความสนุกสนาน และมีสีสันให้กับชีวิต ซึ่งแพ็กเกจจิ้งของเพรทซ์ รสโนริสาหร่ายสามารถนำกลับมารีไซเคิลได้
ด้านนายกฤษดา นุรักษ์เข ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไป กลุ่มงานการขาย บริษัท ไทยกูลิโกะ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายบิสกิต“กูลิโกะ” กล่าวว่า บริษัทเริ่มวางจำหน่าย “เพรทซ์ เถ้าแก่น้อย รสโนริสาหร่าย” ภายใต้สโลแกน “ความอร่อยที่ลงตัวจากกูลิโกะและเถ้าแก่น้อย” ตั้งแต่โดย “เพรทซ์ เถ้าแก่น้อย รสโนริสาหร่าย” อยู่ในบรรจุภัณฑ์แบบกล่อง มีขนาด 36 กรัม ราคา 15 บาท เริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2559 เป็นต้นไป ผ่านทางร้านค้าสมัยใหม่ (Modern Trade) ทั้งร้านสะดวกซื้อ ไฮเปอร์มาร์เก็ต ซูเปอร์มาร์เก็ต ฯลฯ ร้านค้าดั้งเดิม หรือ ร้านโชวห่วย (Traditional Trade) และร้านจำหน่ายของฝาก “เถ้าแก่น้อย แลนด์” ซึ่งตั้งเป้าหมายว่าจะสามารถขายหมดภายในระยะเวลา 6 เดือน
กลยุทธ์การทำตลาด นอกจากการกระจายสินค้าครอบคลุมทุกช่องทางแล้ว บริษัทยังเตรียมสร้างการรับรู้ไปยังผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายผ่านสื่อต่างๆ หรืออะโบฟเดอะไลน์ และการทำกิจกรรมต่างๆหรือบีโลว์เดอะไลน์ อีกทั้งการผลิตจำนวนจำกัด ทำให้เพรทซ์ เถ้าแก่น้อย รสโนริสาหร่ายกลายเป็นสินค้าลิมิตเต็ดอิดิชัน ดังนั้นเมื่อขายหมดแล้วจะไม่มีผลิตเพิ่มขึ้น หากไม่ได้ทานก็จะไม่มีให้ซื้อและรับประทานอีก
“การที่ 2 ผู้นำในตลาดสแน็กเมืองไทย ร่วมมือกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ออกวางจำหน่ายครั้งนี้ถือเป็นปรากฏการณ์ครั้งสำคัญ ด้วยเป้าหมายที่ไม่ได้มุ่งหวังการสร้างกำไร แต่ต้องการช่วยกันกระตุ้นให้ตลาดกลับมาคึกคักอีกครั้ง”
นายอิทธิพัทธ์ กล่าวอีกว่า อีกกลุ่มเป้าหมายที่น่าสนใจคือนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในเมืองไทย ซึ่งกลุ่มนี้ถือเป็นลูกค้าสำคัญของทั้งเถ้าแก่น้อยและกูลิโกะ เพราะผลิตภัณฑ์เถ้าแก่น้อยและกูลิโกะถือเป็นของฝากสำคัญที่นักท่องเที่ยวจีนนิยมซื้อกลับบ้านเป็นอันดับต้นๆ ดังนั้นการออกรสชาติใหม่เชื่อว่าจะเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวจีนเช่นกัน
อย่างไรก็ดีการร่วมมือกันครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของสองบริษัทใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่าเพรทซ์ เถ้าแก่น้อย รสโนริสาหร่ายนี้เป็นผลงานร่วมชิ้นแรก ทำให้เชื่อว่าในอนาคตอันใกล้จะมีความร่วมมือใหม่ๆ เกิดขึ้นมาอีก ส่วนจะเป็นรูปแบบใดนั้นต้องขึ้นอยู่กับระยะเวลาและความต้องการของตลาดด้วย แต่ทั้งนี้ก็ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่ดีในวงการธุรกิจเมืองไทย ที่ไม่ใช่แต่จะมุ่งแข่งขันกัน แต่สามารถร่วมกันพัฒนาสินค้าและตลาดให้กลับมาคึกคักขึ้นได้
ปัจจุบันเถ้าแก่น้อยถือเป็นผู้นำตลาดสาหร่ายในเมืองไทย และเป็นอันดับ 1 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และจัดอยู่ในอันดับ Top 3 ในเอเชีย โดยในปีนี้คาดว่าจะมีรายได้เติบโตขึ้น 25% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 3,500 ล้านบาท เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ หลังจากที่ผลประกอบการในครึ่งปีแรกมีรายได้รวม 2,100 ล้านบาท
ขณะที่กูลิโกะ เป็นผู้นำตลาดในบิสกิต โดยมีส่วนแบ่งตลาดกว่า18% จากตลาดบิสกิตซึ่งประกอบไปด้วย เวเฟอร์ , บิสกิต , ขนมอบ ฯลฯ มีมูลค่าประมาณ 1.2-1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่ง 8 เดือนที่ผ่านมามีการเติบโต 3.8-4% โดยกลยุทธ์การทำตลาดในปีนี้เน้นการพัฒนาสินค้าใหม่ออกวางจำหน่ายอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 2 เดือนต่อ 1 ผลิตภัณฑ์ ล่าสุดเป็นการเปิดตัวช็อกโกแลตใหม่ออกวางจำหน่าย 2 ชนิดและได้รับผลตอบรับที่ดีมาก และภายในสิ้นปีนี้บริษัทมีแผนเปิดตัวช็อกโกแลตเพื่อสุขภาพออกวางจำหน่ายเป็นครั้งแรกด้วย
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,208 วันที่ 10 - 12 พฤศจิกายน 2559