ปตท.แปรรูปรอบสอง แยกนํ้ามัน-ค้าปลีกพ้นรัฐวิสาหกิจหวังปลดล็อกการเงิน

21 พ.ย. 2559 | 04:00 น.
อัปเดตล่าสุด :21 พ.ย. 2559 | 10:43 น.
ปตท.ล็อบบี้พลังงาน แยกนํ้ามันและค้าปลีก ออกจากรัฐวิสาหกิจถือหุ้นไม่เกิน 50% ดัน “พีทีทีโออาร์” เข้าตลาดหุ้น ผันตัวเองเป็นโฮลดิ้ง ลุ้นครม.เห็นชอบ “เทวินทร์”มั่นใจคล่องตัวขยายธุรกิจ คาดบริษัทใหม่มูลค่า 3 แสนล้าน

นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท(บอร์ด) วันที่ 18 พฤศจิกายนที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบการปรับโครงสร้างธุรกิจ ปตท. โดยให้โอนกิจการ สินทรัพย์และหนี้สินของหน่วยธุรกิจน้ำมันและค้าปลีก รวมถึง หุ้นของบริษัทที่เกี่ยวข้อง ให้แก่บริษัท ปตท. ธุรกิจค้าปลีก จำกัด (PTTRB) และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (PTT Oil and Retail Business Company Limited, หรือ PTTOR) เพื่อให้PTTOR เป็นบริษัทแกนหลักของกลุ่มปตท.ในการดำเนินธุรกิจน้ำมันและค้าปลีก

ทั้งนี้ จะมีธุรกิจที่ถูกโอนย้ายเข้ามาอยู่ภายใต้ PTTOR ประกอบด้วย การค้าปลีกน้ำมันผ่านสถานีบริการทั้งในและต่างประเทศ ค้าเชิงพาณิชย์น้ำมัน ก๊าซปิโตรเลียม(แอลพีจี) และเชื้อเพลิงอื่นๆ อาทิ จำหน่ายเชื้อเพลิงอากาศยาน ,จำหน่ายแอลพีจีในครัวเรือนและสถานีบริการ คลังแอลพีจีระยะที่ 1 ที่เขาบ่อยา,จำหน่ายเชื้อเพลิงหล่อลื่นทั้งในและต่างประเทศ และบริหารโครงสร้างพื้นฐานของธุรกิจน้ำมัน อาทิ ด้านขนส่งหรือจัดเก็บ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและโอกาสทางธุรกิจที่ตอบสนองต่อลักษณะการเติบโตของตลาดทั้งในและต่างประเทศ

นอกจากนี้จะโอนธุรกิจค้าปลีกด้านอื่นๆและให้บริการด้านบำรุงรักษายานยนต์ จะครอบคลุมการบริหารค้าปลีกและงานขายภายใต้แบรนด์ ปตท.และอื่นๆ อาทิ คาเฟ่อเมซอน ฟิตออโต้และริเริ่มสร้างธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้น

นายเทวินทร์ชี้แจงว่าสำหรับธุรกิจที่จะริเริ่มใหม่ เช่น ธุรกิจร้านอาหาร เครื่องดื่ม แฟรนไชส์ และโรงแรม ส่วนธุรกิจนํ้ามันที่ ปตท.ขายให้หน่วยงานของภาครัฐนั้นไม่ได้ถูกโอนไปด้วย เพราะเป็นไปตามมติครม. ที่ให้ดำเนินการโดยจะมีเงินชดเชยให้ภายหลัง

 ตั้งเป้าถือหุ้นพีทีทีโออาร์ไม่เกิน 50%

นอกจากนี้ ภายหลังจากบอร์ดมีมติอนุมัติการปรับโครงสร้างธุรกิจดังกล่าว ขั้นตอนต่อไปจะเสนอเรื่องไปยังกระทรวงพลังงาน เพื่อนำเรื่องเสนอเข้าสู่การพิจารณาคณะรัฐมนตรี(ครม.) ให้ทันก่อนที่จะมีการประชุมผู้ถือหุ้นในเดือนเมษายน 2560 เพื่อขอมติการดำเนินงานด้วย โดยปตท.ตั้งเป้าถือหุ้นในบริษัทPTTOR ภายหลังจากขายหุ้นให้ประชาชนเป็นครั้งแรก(ไอพีโอ) และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ในหุ้นสัดส่วน 45-50% เพื่อดำเนินการกระจายหุ้นสู่ประชาชนอย่างทั่วถึงเพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถเป็นเจ้าของธุรกิจน้ำมันและค้าปลีกของบริษัทฯ ผ่านการลงทุนในหุ้นของPTTOR แต่หากการปรับโครงสร้างครั้งนี้ ไม่ผ่านความความเห็นชอบจากครม.และผู้ถือหุ้น การดำเนินงานก็ต้องยุติไป

“การจัดตั้งบริษัท PTTOR นับเป็นธงนำที่ 6 ของ ปตท. แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าจะดำเนินการทันภายในปี 2560 หรือไม่ เพราะต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี(ครม.) ก่อน และยังมีกระบวนการอีกหลายขั้นตอนในการเสนอเข้า กลต. และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมทั้งในฐานะที่เป็น บมจ. ก็ต้องเสนอเข้าที่ประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งจะมีขึ้นในเดือนเมษายนปีหน้า ทั้งนี้การจัดตั้งPTTOR ยืนยันว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันแต่อย่างใด รวมทั้งไม่ต้องการอาศัยอำนาจรัฐในการแข่งขันธุรกิจกับเอกชนรายอื่น นอกจากนี้จะเกิดความคล่องตัวในการขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ”

 แยกบริษัทลดอำนาจรัฐแทรก

นายเทวินทร์ กล่าว สำหรับการปรับโครงสร้างธุรกิจของ ปตท.ในครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มความชัดเจน โปร่งใสในการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม ปตท.ในสายตาสาธารณชน รวมทั้งยังช่วยให้หน่วยธุรกิจน้ำมันมีความคล่องตัวในการดำเนินงาน และสามารถปรับตัวกับสถานการณ์การแข่งขันที่สูงขึ้น โดยแฉพาะลดการเป็นรัฐวิสาหกิจ ที่มักจะถูกมองว่าปตท.ใช้อำนาจรัฐเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ในการดำเนินงาน สร้างผลกำไรมหาศาลบนความเดือดร้อนของผู้บริโภคจากการจำหน่ายน้ำมนในราคาสูง

 รายได้ธุรกิจน้ำมัน5 แสนล้าน

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจน้ำมัน ปตท. เปิดเผยว่า ปัจจุบันธุรกิจน้ำมันของ ปตท. มีกำไรก่อนหักภาษี ค่าเสื่อม(อีบิทด้า) อยู่ที่ 15- 20% ของอีบิทด้า ปตท. โดยในช่วง 9เดือนแรกปีนี้อีบิทด้าธุรกิจน้ำมันอยู่ที่ 1.9 หมื่นล้านบาท และอีบิทด้าของ ปตท. อยู่ที่ 7 หมื่นล้านบาท โดยในปี 2557 รายได้จากธุรกิจน้ำมันอยู่ที่ 6.38 แสนล้านบาท ปี 2558 อยู่ที่ 5.11 แสนล้านบาท ขณะที่อีบิทด้าธุรกิจน้ำมันปี 2557 อยู่ที่ 1.15 หมื่นล้านบาท และปี 2558 อยู่ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท

นอกจากนี้ ภายหลังจากจัดตั้ง PTTOR จะทำให้เกิดการแข่งขันที่คล่องตัวมากขึ้น โดยในอนาคตจะเห็นสัดส่วนธุรกิจน้ำมันในต่างประเทศและธุรกิจนอนออยล์เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากธุรกิจน้ำมันอยู่ที่ 70-80% ,นอนออยล์ 10% และที่เหลือเป็นธุรกิจน้ำมันในต่างประเทศ

ปัจจุบันปตท.คลังปิโตรเลียม 6 แห่ง คลังน้ำมัน 13 แห่ง และคลังก๊าซหุงต้ม 13 แห่ง มีสถานีบริการน้ำมันอยู่ 1,604 แห่ง และมีการขยายสถานีบริการน้ำมันในต่างประเทศจะเพิ่มอีก 51 แห่ง จากปัจจุบันอยู่ที่ 151 แห่งหรือ เพิ่มเป็น 202 แห่งภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นไปที่สปป.ลาว จากปัจจุบันอยู่ที่ 25 แห่ง เพิ่มเป็น 40 แห่ง กัมพูชา จาก 26 แห่ง เพิ่มเป็น 42 แห่ง ส่วนที่ฟิลิปปินส์ จาก 96 แห่ง เพิ่มเป็น 101 แห่ง และเมียนมา จากปัจจุบัน 4 แห่ง เพิ่มเป็น 10 แห่ง ภายในปีนี้ โดยใช้เงินลงทุนเฉลี่ย 20-25 ล้านบาทต่อแห่ง หรือประมาณ 1.27 พันล้านบาท โดยปตท.ตั้งเป้าขยายจำนวนสถานีบริการน้ำมัน ปตท.ในต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 500 แห่งภายในปี 2563 ดังนั้น ในปีนี้ปตท.จะใช้เงินสำหรับการขยายสถานีบริการน้ำมันราว 5 พันล้านบาท

 

[caption id="attachment_114851" align="aligncenter" width="503"] ปตท. ปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า คณะกรรมการ ปตท. มีมติเห็นชอบการปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจของ ปตท.โดยให้แยกธุรกิจน้ำมันและค้าปลีกมาอยู่ภายใต้ บริษัท ปตท. ธุรกิจค้าปลีก จำกัดหรือ (PTTRB) ที่จะทำการเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (PTTRB)ในลำดับต่อไป ปตท. ปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่
นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า คณะกรรมการ ปตท. มีมติเห็นชอบการปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจของ ปตท.โดยให้แยกธุรกิจน้ำมันและค้าปลีกมาอยู่ภายใต้ บริษัท ปตท. ธุรกิจค้าปลีก จำกัดหรือ (PTTRB) ที่จะทำการเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (PTTRB)ในลำดับต่อไป[/caption]

ลุยขยายอเมซอน-ดันโรงแรม

ส่วนการขยายร้านคาเฟ่ อเมซอน ปัจจุบันอยู่กว่า 1,500 แห่ง อยู่ต่างประเทศอีก 26 แห่ง โดยตั้งเป้าขยายร้านคาเฟ่ อเมซอนในประเทศเพิ่มขึ้นอีก 250 แห่ง และในต่างประเทศเพิ่มขึ้นอีก 20 แห่ง ส่งผลให้ภายในสิ้นปีนี้ จะมีร้านคาเฟ่ อเมซอนรวมทั้งสิ้น 1,707 แห่ง แบ่งเป็นในประเทศ 1,661 แห่ง และต่างประเทศ เป็น 46 แห่ง ขณะที่สถานีบริการก๊าซปิโตรเลียมเหลว(แอลพีจี) ปัจจุบันมีอยู่ 315 แห่ง จะไม่มีการขยายเพิ่ม แต่จะเน้นการให้บริการด้านนอนออยล์ภายในสถานีบริการเพิ่มขึ้น เนื่องจากธุรกิจสถานีบริการแอลพีจีถึงจุดอิ่มตัว

รวมถึงจะขยายการลงทุนในธุรกิจโรงแรมราคาประหยัด (Budget Hotel) ในสถานีบริการน้ำมัน เพื่อให้บริการลูกค้าอย่างครบวงจร ซึ่งตั้งเป้าระยะแรกจะเปิด 50 แห่ง ภายใน 5 ปี โดยจะเริ่มเปิดประมูลหาผู้ดำเนินการเข้ามาร่วมทุนอีกครั้งในปีหน้า

 ล็อบบี้ขอไฟเขียว”อนันตพร”

แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยกับ”ฐานเศรษฐกิจ” ว่าเมื่อช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) และผู้บริหาร ได้เข้าพบพล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และนายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงพลังงาน เพื่อหารือถึงการปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจ โดยแยกธุรกิจน้ำมันและค้าปลีก มาอยู่ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท ปตท.ธุรกิจค้าปลีก จำกัดหรือ พีทีทีโออาร์ ก่อนที่บอร์ดปตท.จะอนุมัติให้ดำเนินการเมื่อวนที่ 18 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ เนื่องจากทางปตท.ต้องการผลักดันการแบกธุรกิจน้ำมันและค้าปลีก ออกจากการใช้อำนาจรัฐวิสาหกิจในการบริหารเร็วที่สุด เพราะที่ผ่านมาปตท.ได้รับการโจมตีค่อนข้างมาก จากการดำเนินธุรกิจน้ำมัน ว่าเป็นการเอาเปรียบประชาชนใช้น้ำมันราคาแพง จากผลกำไรที่มีจำนวนมาก ปตท.จึงพยายามที่จะแยกบัญชีการดำเนินงานของธุรกิจน้ำมันออกมาให้เห็น เพื่อลดข้อครหาดังกล่าว ซึ่งนำมามาสู่การปรับโครงสร้างธุรกิจในที่สุด

 นักวิเคราะห์ชี้ลดหุ้นพ้นรสก.

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต กล่าวว่า การปรับโครงสร้างครั้งนี้ นับเป็นผลดี ต่อกลุ่มปตท. เนื่องจากการแยกธุรกิจต่างๆออกมาทำให้ทราบมูลค่าที่แท้จริงของแต่ละธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น และเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ ส่วนการลดสัดส่วนการถือหุ้นลงต่ำกว่า51% ทำให้หลุดพ้นจากการเป็นรัฐวิสาหกิจ เพิ่มความคล่องตัวในการบริหารและการลงทุน
“ปกติเวลาแยกธุรกิจเข้าตลาดหุ้นมักจะขายหุ้นออกประมาณ 25% แต่กรณีของปตท.ขายหุ้นออกมามากก็จะทำให้ปตท.มีกำไรเกิดขึ้นมาก”

ทั้งนี้ ธุรกิจในบริษัทเหล่านี้ ผลดำเนินงานในงวด 9 เดือนมีกำไรสุทธิรวม13,500 ล้านบาท คาดรวมทั้งปีจะทำได้ทั้งส้น 18,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามบอร์ดที่มีมติวันนี้ ยังจะต้องมีขั้นตอนการขออนุมัติจากหน่วยงานต่างๆ รวมถึงการโอนสินทรัพย์ที่จะมีกำไรเกิดขึ้น มีภาระภาษีจะต้องจ่ายจากกำไรที่เกิดขึ้น คาดว่าบริษัทจะจัดตั้งเสร็จคงจะเกิดขึ้นในปลายปีหน้า

นักวิเคราะห์รายหนึ่งกล่าวว่า ปตท.ตัดสินใจแยกธุรกิจนํ้ามันและค้าปลีกออกมาจะทำให้บริษัทมีความคล่องตัวในการลงทุนมากขึ้นจากเดิม หากมีการลงทุนใหม่จะต้องได้รับการอนุมัติจากบริษัทแม่และเงินลงทุนต้องมาจากบริษัทแม่ แต่เมื่อแยกออกมาแล้วจะมีการโอนทรัพย์สินและหนี้สินไปสู่บริษัทลูก โดยในส่วนหนี้สินนั้นตามหลักการบัญชีถือว่าบริษัทลูกเป็นหนี้บริษัทแม่ และเมื่อบริษัทลูกระดมทุนมาได้ก็จะสามารถนำเงินไปใช้หนี้บริษัทแมและบริษัทแม่ก็จะนำเงินไปใช้หนี้เงินกู้ต่อไป ซึ่งหนี้เงินกู้จะมีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าการะดมทุนในตลาด เท่ากับช่วยลดต้นทุนการเงินให้กับปตท.

 มาร์เก็ตแคป 3 แสนล้าน

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์รายหนึ่งประเมินว่า บริษัทใหม่ที่จะเกิดขึ้นเพื่อขายหุ้นในปีหน้า คาดว่าบริษัทจะมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดหรือมาร์เก็ตแคปประมาณ 3 แสนล้านบาท

นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่บางจาก ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับภาวะการแข่งขันในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม โดยเห็นว่าการแข่งขันของอุตสาหกรรมปลายนํ้า หรือการธุรกิจขายปลีก หรือ ปั๊มนํ้ามัน และธุรกิจที่ไม่ใช่นํ้ามัน หรือ Non Oil เช่นร้านค้า ร้านกาแฟในปั๊มนํ้ามัน จะมีการแข่งขันที่รุนแรง เนื่องจากปัจจุบันค่าการตลาดนํ้ามันอยู่ในระดับสูงที่ลิตรละ1 บาท 50 สตางค์ ทำให้ผู้ประกอบการมีกำไรเพิ่มขึ้น และมีเงินทุนมาลงทุนปรับปรุงปั๊มนํ้ามัน

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,211 วันที่ 20 - 23 พฤศจิกายน 2559