โมเดลธุรกิจพลิก! ดีลเลอร์รถอ่วม ผจญศึกรอบด้าน

ดีลเลอร์รถอ่วม! เจอมรสุมรุมเร้า ทั้งบริษัทผู้ผลิตบีบปรับตัว-ลงทุนเพิ่ม โมเดลธุรกิจเปลี่ยน ขายรถใหม่กำไรหด เพลี่ยงพล้ำตั้งรายใหม่เสียบแทน เผย ต้องมีไม่ต่ำกว่า 400 ล้าน ถึงเปิดโชว์รูมได้

ช่วงต้นปีที่ผ่านมา เกิดกรณีศึกษา เมื่อตระกูล ‘หงษ์หยก’ หรือ กลุ่มอนุภาษวิวิธการ ดีลเลอร์รถยนต์ฮอนด้า ที่ดูแลตลาดภูเก็ตและพังงารวม 4 โชว์รูม ประกาศเลิกกิจการ ปิดฉากความสัมพันธ์กับ ‘ฮอนด้า ออโตโมบิล’ ที่มีมานาน 32 ปี ซึ่งมาจากหลายสาเหตุ ทั้งทำธุรกิจหลากหลายและเป็นดีลเลอร์รถยนต์หลายยี่ห้อ ซึ่งบางธุรกิจผลประกอบการไม่เป็นไปตามเป้า




ขณะเดียวกัน ด้วยแผนพัฒนาเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายของ ‘ฮอนด้า ออโตโมบิล’ ที่เข้มงวดมากขึ้น ทั้งยอดขายและคุณภาพในการบริการ ซึ่งกลุ่มอนุภาษฯ ต้องลงทุนเพิ่ม ที่สำคัญยังแต่งตั้งดีลเลอร์รายใหม่ในภูเก็ตเพิ่มเติม แต่ ‘ซัมมิท ออโต ซีท ดีลเลอร์’ ใหม่ ก็ไม่สามารถเดินหน้าตามแผน ดังนั้น ‘ฮอนด้า ออโตโมบิล’ จำเป็นต้องแต่งตั้งเสือข้ามห้วย คือ กลุ่ม ‘ฮอนด้า มะลิวัลย์’ จากขอนแก่น เข้าไปดูแลลูกค้าในภูเก็ตแทน เมื่อวันที่ 1 มี.ค. ที่ผ่านมา

จากกรณีนี้ ถือเป็นตัวอย่างของการทำธุรกิจค้าปลีกรถยนต์ยุคใหม่ ที่ต้องปรับตัวอย่างหนัก โดยเฉพาะวิธีคิด แนวทางการบริการจัดการ ซึ่งระบบครอบครัวอาจจะใช้ไม่ได้อีกต่อไป แต่ดีลเลอร์รายดั้งเดิมตั้งแต่รุ่นบุกเบิก ปัจจุบันอาจไม่ต้องกังวลเรื่องต้นทุนคงที่มากนัก เพราะทำธุรกิจมานานจนมีกำไรและคืนทุนหมดแล้ว ในแต่ละเดือนเพียงทำยอดขาย-ยอดบริการหลังการขาย เพื่อรักษาธุรกิจและเลี้ยงลูกน้องให้อยู่ได้เป็นพอ ซึ่งต่างจากนโยบายของบริษัทแม่ ที่ต้องการเพิ่มยอดขายและปรับปรุงคุณภาพของการบริการและภาพลักษณ์โชว์รูมอย่างสม่ำเสมอ



แต่จนแล้วจนรอด หากให้นโยบายไปแล้ว ดีลเลอร์ยังไม่ยอมขยับตัว บริษัทแม่ก็มีหลายแนวทางมาใช้บีบ เช่น แต่งตั้งดีลเลอร์รายใหม่เข้ามาช่วยขายในพื้นที่ หรือ จะรอให้สัญญาหมดลง และไม่ขยายออกไป ที่ผ่านมาจึงเห็นการเข้าสู่ธุรกิจดีลเลอร์ของผู้เล่นหน้าใหม่ และรายเก่าทิ้งธุรกิจเดิมออกไป ส่วนที่ดินที่เป็นโชว์รูม-ศูนย์บริการ สามารถขายทิ้ง-ขายกิจการต่อ หรือ นำไปพัฒนาเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มูลค่ามากกว่า ส่วนรายไหนยังต้องการลุยในธุรกิจนี้ต่อ ก็อาจจะเปลี่ยนไปเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ยี่ห้ออื่น

แหล่งข่าวจากตัวแทนจำหน่ายรถยนต์รายใหญ่ เปิดเผยว่า ธุรกิจดีลเลอร์ก็เหมือนธุรกิจอื่น ๆ เมื่อตลาดรถโต ก็มีดีลเลอร์รายใหม่ ๆ เกิดขึ้น แต่เมื่อตลาดตกก็อาจจะหายไป เป็นวัฏจักร หรือ อาจเป็นเปลี่ยนไปทำแบรนด์อื่น




“การเป็นดีลเลอร์รถยนต์ต้องมีทุนที่ค่อนข้างแข็งแรง โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ เนื่องจากราคาที่ดินแพง ขณะที่ การแข่งขันของดีลเลอร์ด้วยกันเอง ปัจจุบันถือว่าดุเดือด เพราะผู้ขายเยอะ แบรนด์รถยนต์ก็เยอะขึ้น กำไรจากการขายรถก็ลดลงเมื่อเทียบกับอดีต ตรงจุดนี้เอง ทำให้ดีลเลอร์ต้องมีการทำธุรกิจอื่น ๆ ควบคู่ ไม่ว่าจะเป็น ประกันภัย ไฟแนนซ์ และขายรถมือ 2” แหล่งข่าว กล่าว




โดยในอดีตกำไรของดีลเลอร์แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ การขายรถใหม่ 70% และอีก 30% มาจากการบริการ แต่ปัจจุบัน สัดส่วนได้กลับกัน เป็นขายรถใหม่ 30% และบริการ 70%

อีกทั้ง ปัจจุบันการลงทุนเบื้องต้นสำหรับดีลเลอร์รถยนต์รายใหม่ ต้องมีงบประมาณ 300-400 ล้านบาท แบ่งออกเป็น ค่าก่อสร้างและอุปกรณ์ต่าง ๆ ตาม Corporate Identity ของบริษัทแม่ ประมาณ 100-150 ล้านบาท และค่าที่ดินขนาด 2-3 ไร่ ในพื้นที่กรุงเทพฯ หรือ ปริมณฑล อีก 100-200 ล้านบาท ไม่รวมสต๊อกรถประมาณ 70 คัน ที่คิดเป็นเงิน 40-50 ล้านบาท

 

[caption id="attachment_274783" align="aligncenter" width="310"] อนุพล ลิขิตพฤกษ์ไพศาล
เลขาธิการสมาคมผู้จำหน่ายรถยนต์ไทย[/caption]

นายอนุพล ลิขิตพฤกษ์ไพศาล เลขาธิการสมาคมผู้จำหน่ายรถยนต์ไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันธุรกิจค้าปลีกรถยนต์ใหญ่เกินกว่าที่จะใช้ระบบเถ้าแก่ หากยังทำแบบเดิมและไม่ตื่นตัว หรือ ไม่เข้าใจ ก็จะทะเลาะกับเจ้าของแบรนด์ที่ใช้ระบบมืออาชีพเข้ามาบริหารจัดการ

“เราต้องมองว่า การแข่งขัน คือ การพัฒนา เพราะธุรกิจค้าปลีกของเมืองไทยก้าวไปไกลแล้ว ซึ่งรถยนต์ก็เช่นกัน โดยบริษัทแม่ หรือ เจ้าของแบรนด์ เตรียมกระบวนการทุกอย่างเอาไว้อย่างสมบูรณ์ และต้องสร้างแบรนด์ และการตลาด ซึ่งใช้เงินไปมหาศาล” นายอนุพล กล่าว




สำหรับตลาดรถยนต์ 2 เดือนแรก (ม.ค.-ก.พ. 61) ขายได้ 142,011 คัน เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว โดยรถยนต์นั่งโต 18% ส่วนรถยนต์เพื่อการพาณิชย์โต 10%


……………….
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,355 วันที่ 8-11 มี.ค. 2561 หน้า 15
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
● ดีลเลอร์รถรับกำไรหด ตลาดโตคู่แข่งเพียบ อัดแคมเปญตัดราคา
● ดีลเลอร์รถบริหารสต๊อกหนีเสี่ยงข้ามปี