โค้งสุดท้ายปี 2561 หลายบริษัทเริ่มมองเห็นภาพการดำเนินธุรกิจของตัวเองได้มากขึ้น พร้อมกับมองเห็นทิศทางแนวโน้มเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ปี 2562 ที่มาพร้อมกับปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน เช่นเดียวกับที่ นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) หรือ Srithai สำรวจตัวเองตลอดปี 2561 พร้อมวางแผนปีหน้า
สรุปผลดำเนินงานปี 2561
ซีอีโอ Srithai สรุปแผนการดำเนินธุรกิจตลอดปี 2561 ว่า มีการตั้งเป้าไว้แต่แรกว่า ภายในปี 2561 ประมาณการยอดขายกลุ่มอยู่ที่ 9,900 ล้านบาท สูงกว่าปี 2560 ซึ่งมียอดขาย 9,577 ล้านบาท ประมาณ 3.4% ในปี 2562 กลุ่มศรีไทยตั้งเป้าหมายว่า ยอดขายคาดว่าจะอยู่ที่ 10,500 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการยอดขายปี 2561 ประมาณ 6.1% สำหรับยอดขาย 9 เดือนแรก ปี 2561 ของกลุ่มศรีไทย อยู่ที่ 7,059 ล้านบาท สูงขึ้นเล็กน้อย 1.1% เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน สาเหตุที่ขยายตัวเพราะมียอดส่งออกเพิ่มขึ้น แต่ตลาดภายในประเทศหดตัว เนื่องจากเศรษฐกิจหดตัว แต่ผลการดำเนินงานในไตรมาสสุดท้ายคาดว่าจะเติบโตได้ตามเป้าที่ตั้งไว้
ปีหน้าถอยรับความเสี่ยง
สำหรับปี 2562 เนื่องจากสถานการณ์ตลาดการค้าโลกยังมีความผันผวนสูง เกิดสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งส่งผลกระทบไปทั่วโลก ดังนั้น บริษัทจึงเข้มงวดการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร โดยตั้งงบลงทุนในปี 2562 ไว้เพียง 500 ล้านบาท แบ่งเป็น การลงทุนในประเทศ 200 ล้านบาท และลงทุนในเวียดนาม 300 ล้านบาท และยังชะลอการลงทุนในประเทศอื่น ๆ เพื่อลดความเสี่ยง โดยชะลอการลงทุนในอินเดียและอินโดนีเซีย ไม่ลงทุนเพิ่ม
นอกจากนี้ บมจ.ศรีไทย กำลังพิจารณาปรับโครงสร้างการบริหารงานภายในให้กระชับยิ่งขึ้นในปีหน้า โดยจะตั้ง COO ขึ้นมาดูแลสายงานผลิตของโรงงานกลุ่มศรีไทยทั่วโลก ซึ่ง COO จะดูแลครอบคลุมไปถึงงานด้านวิศวกรรม และนวัตกรรมด้วย นอกจากนั้น บริษัทกำลังพิจารณาเพิ่มตำแหน่ง Vice President 3 คน เพื่อให้แต่ละคนแยกหน้าที่ไปดูแลด้านการขายและการตลาดสำหรับสายงานธุรกิจ 3 สายงาน คือ สายงานผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวเรือน สายงานเครื่องใช้พลาสติกเพื่องานอุตสาหกรรม และบรรจุภัณฑ์อาหาร และสายงานบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่ม ซึ่งจะเป็นการกระจายงานให้คนรุ่นใหม่เข้ามาทำงานมากขึ้น
[caption id="attachment_356677" align="aligncenter" width="335"]
สนั่น อังอุบลกุล[/caption]
ยังมีโอกาสกลางปัจจัยเสี่ยง
สำหรับสถานการณ์ปี 2562 ยอมรับว่า ยังมีปัจจัยเสี่ยงสำคัญ คือ สงครามการค้าระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งคงไม่จบเร็วและมีผลกระทบทั่วโลก ประเทศไทยก็ถูกผลกระทบเช่นกันในสินค้าหลาย ๆ ประเภท เพราะถูกสหรัฐฯ ขึ้นภาษีขาเข้า เช่น แผงโซลาร์เซลล์ เครื่องซักผ้า เป็นต้น แต่สินค้าบางประเภทได้รับผลดีจากสงครามการค้า เพราะไทยส่งออกไปทดแทนสินค้าจีนในตลาดสหรัฐฯ เช่น ยานพาหนะ และส่วนประกอบเคมีภัณฑ์ เหล็ก ผลิตภัณฑ์ เครื่องจักรและส่วนประกอบ เป็นต้น ส่วนผลดีในระยะยาว คือ ผู้ประกอบการหลายสัญชาติในจีน เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี และผู้ประกอบการชาวจีน ก็จะย้ายฐานการผลิตมาไทย บางส่วนเพื่อหลีกเลี่ยงสงครามการค้า เช่น ผลิตภัณฑ์จากยางพารา สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
"ซึ่งสงครามการค้านี้จะมีผลกระทบกับศรีไทยในทางบวก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาที่เคยสั่งสินค้าเมลามีนจากจีน เพราะราคาถูกและลูกค้าหลายรายไม่เคยซื้อจากไทย ก็หันมาซื้อจากศรีไทย ขณะนี้ มีการส่งออกไปแล้วผลเป็นที่น่าพอใจและลูกค้ามีความพอใจจะสั่งซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง"
ภาพรวมการค้าโลกปีหน้า
อย่างไรก็ตาม โดยภาพรวมปีหน้าการค้าโลกจะชะลอตัวเนื่องจากหลายสาเหตุ เช่น ผลกระทบจากสงครามการค้า การเพิ่มขึ้นของราคานํ้ามันและอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ตลอดจนภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในหลายประเทศ อันเกิดจากสภาพหนี้สินครัวเรือนสูง ทำให้กำลังซื้อหดหาย ผู้บริโภคพยายามชะลอการใช้จ่ายและการลงทุนใหม่ ๆ ยังชะลอตัวอีกด้วย
สุดท้ายซีอีโอ Srithai ยังมองถึงบรรยากาศภายในประเทศไทยท่ามกลางสนามการเมืองไทยช่วงเลือกตั้ง ว่า การเลือกตั้งเป็นสิ่งจำเป็น เพราะจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนต่างประเทศที่พร้อมเข้ามาลงทุนในไทยอีกมาก นักลงทุนต่างประเทศจะมองว่า ประเทศไทยมีการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย หากหลังการเลือกตั้ง ประเทศไทยมีความสงบเรียบร้อย การเมืองมีเสถียรภาพดี รัฐบาลใหม่มีนโยบายสนับสนุนการค้าการลงทุนของภาคเอกชนต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนต่างประเทศก็จะเข้ามาลงทุนอีกมาก
นอกจากนั้น การเจรจาการค้าระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลต่างชาติในซีกโลกตะวันตกก็จะดำเนินต่อไปได้
คาดว่าหลังการเลือกตั้ง หากการเมืองมีเสถียรภาพ ภาวะเศรษฐกิจของไทยจะค่อย ๆ กระเตื้องขึ้น ขณะที่ ธุรกิจรายเล็ก ๆ เช่น SMEs ต้องปรับตัวอีกมาก ทั้งด้านการบริหารจัดการ การนำเทคโนโลยีมาใช้ การพัฒนาโลจิสติกส์ การสร้างนวัตกรรมเพื่อให้เติบโตได้ในระยะยาว ทางภาครัฐก็พยายามปรับปรุงข้อกฎหมาย ระเบียบต่าง ๆ เพื่อให้การค้าการลงทุนทำได้อย่างสะดวกง่ายขึ้น ตลอดจนมุ่งพัฒนาโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ อีอีซี เป็นแผนยุทธศาสตร์ภายใต้ไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ในระยะกลางและระยะยาว
หน้า 8 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับ 3,424 วันที่ 6-8 ธันวาคม 2561