ผุดธุรกิจ “เซเลบ แมนเนจเมนต์” ดึงคนดัง ไฮโซช่วยโปรโมตสินค้าผ่าน IG ทวิสเตอร์ หลังกระแสโซเชียลมีเดียแรงเวอร์ เผยมีบริการตั้งแต่โชว์ตัวในงาน โพสต์ผ่านโซเชียล วางแผนการตลาด จัดแคมเปญผ่านสื่อออนไลน์ ชูจุดเด่นมีเครือข่ายเซเลบในมือกว่า 100 ชีวิต ใช้งบต่ำกว่าพรีเซ็นเตอร์ถึง 10 เท่าตัว มั่นใจกระแสฮอตดันธุรกิจโตไม่ต่ำกว่า 70% หลังไตรมาสแรกคว้างานมาครองแล้ว 4 แคมเปญ
บริษัท เบสท์ วิช จำกัด (กรรมการผู้จัดการ บริษัท เบสท์ วิช จำกัด (Best Witshes) ผู้ให้บริการเซเลบ แมนเนจเมนต์ ที่ปรึกษาด้านการตลาด การจัดอีเว้นท์ และการวางแผนงานประชาสัมพันธ์ ผ่านสื่อดิจิตอล เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า บริษัทให้บริการที่ปรึกษาการตลาด งานประชาสัมพันธ์ การจัดกิจกรรมอีเว้นท์รูปแบบต่างๆ โดยจะเน้นเครื่องมือทางด้านดิจิตอลมีเดีย อาทิ อินสตราแกรม เฟสบุ๊ค ยูทูป โดยมีเซเลบริตี้ เน็ตไอดอล บล็อกเกอร์ และผู้มีอิทธิพล (Influence) ในโลกโซเชียลมีเดียมาช่วยในการประชาสัมพันธ์สินค้า และทำการตลาดออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ
ซึ่งบริษัทมีเครือข่ายเซเลบกว่า 100 คนที่สามารถเข้ามาช่วยในด้านการตลาดดิจิตอลได้ โดยที่ผ่านมาบริษัทได้ทำแคมเปญให้กับลูกค้าแบรนด์ต่างๆ ไปแล้วกว่า 20 แคมเปญในธุรกิจต่างๆ ได้แก่ ธุรกิจร้านอาหาร เครื่องดื่ม ธนาคาร สินค้าลักชัวรี่ เครื่องสำอาง ธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว ซึ่งมีแบรนด์ชั้นนำมาใช้บริการจำนวนมาก อาทิ Kenso, Moschino ,Tom Ford, Biotherm, Hilton และแสนสิริ เป็นต้น
“ส่วนลูกค้าในปีนี้ได้เซ็นสัญญาแล้ว 4 แคมเปญ ทำให้คาดว่าผลประกอบการในปีนี้น่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 70% และน่าจะมีลูกค้ากลุ่มใหม่เข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจในลักษณะนี้อย่างจริงจัง และการทำดิจิตอลมาร์เก็ตติ้ง ถือว่าเป็นเทรนด์ที่เติบโต จากการใช้โซเซียลมีเดียของคนในปัจจุบัน และงบประมาณที่ใช้ถือว่าถูกกว่าการใช้พรีเซ็นเตอร์ที่มีชื่อเสียงเพียง 1 คน ขณะที่มูลค่าที่ได้จากการจัดแคมเปญด้วยการใช้ดิจิตอลและเซเลบ มีมูลค่าสูงกว่าถึง 10 เท่า ซึ่งนอกจากจะเป็นกระแสแล้วด้านยอดขายก็เติบโตตามด้วย”
สำหรับงบประมาณที่สามารถใช้บริการกับทางบริษัทนั้น จะใช้งบประมาณเริ่มต้นที่ 1 แสนบาท ส่วนจำนวนเซเลบที่ใช้สำหรับการทำตลาดนั้น จะขึ้นอยู่กับแบรนด์สินค้าว่ามีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากน้อยเพียงใด เพราะบริษัทมีจำนวนเซเลบจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่ที่จะมีผลต่อการจัดแคมเปญจะต้องมีจำนวนผู้ติดตามผ่านสื่อออนไลน์ขั้นต่ำ 1 หมื่นคน เพื่อให้เกิดการรับรู้ และแต่ละแคมเปญที่ทำการตลาดออนไลน์ จะใช้เซเลบประมาณ30-40 คนเพื่อโพสต์ภาพหรือข้อความของแคมเปญการตลาด
อย่างไรก็ดีปัจจุบันสื่อดิจิตอลและโซเซียลมีเดียมีอัตราการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประเทศไทยเป็นอันดับ 3 รองจากอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ที่ใช้โซเซียลมีเดียมากที่สุด โดยอนาคตคาดว่าจำนวนประชากรที่เกิดใหม่สัดส่วน 86% จะใช้โซเชียลมีเดียในชีวิตประจำวัน ซึ่งโซเชียลมีเดียไม่ได้จำกัดเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่เท่านั้น แต่เข้าถึงประชาชนทุกกลุ่มอายุตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุด้วย
นายนิติ กล่าวอีกว่า บริษัทดำเนินธุรกิจด้านการตลาดออนไลน์ โดยใช้เซเลบริตี้หรือเซเลบมาสื่อสารการตลาดผ่านโซเซียลมีเดีย เพื่อประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการต่างๆ ซึ่งได้เริ่มดำเนินธุรกิจอย่างจริงจังเข้าสู่ปีที่ 3 แล้ว โดยการทำตลาดออนไลน์ด้วยการใช้เซเลบนั้น บริษัทไม่ได้เป็นการว่าจ้างหรือมีสัญญาจ้าง แต่เป็นการใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวในการทำการตลาด ซึ่งเซเลบจะได้รับผลประโยชน์ในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป อาทิ ของขวัญหรือบริการที่แบรนด์สินค้าจัดแคมเปญการตลาด การได้รับเชิญเข้าร่วมงานในโอกาสพิเศษ เป็นต้น ซึ่งความเหมาะสมของการคัดเลือกเซเลบเพื่อจัดแคมเปญการตลาด ทางบริษัทจะเป็นผู้นำเสนอให้เจ้าของแบรนด์สินค้าหรือบริการเป็นผู้พิจารณา แต่หากต้องการใช้เซเลบที่มีชื่อเสียงหรือเป็นดารา นักแสดง จะเป็นการเจรจาเฉพาะกรณี ซึ่งจะทำให้แคมเปญการตลาดมีงบประมาณที่เพิ่มสูงขึ้น
“เซเลบในความหมายของทางบริษัท จะไม่ใช่ดารา นักแสดง หรือนักร้อง แต่เป็นคนมีชื่อเสียงในวงสังคม เป็นนักธุรกิจ หรือคนที่มีชื่อเสียงในโลกออนไลน์ เพราะหากเป็นดารา นักแสดง หรือนักร้อง งบประมาณในการทำตลาดจะสูงมาก พรีเซ็นเตอร์ 1 คนสามารถนำงบประมาณมาทำแคมเปญการตลาดได้ถึง 10 แคมเปญเลยทีเดียว ซึ่งการใช้เซเลบของบริษัทจะพิจารณาตามความเหมาะสมของคอนเซ็ปต์งาน และต้องเป็นมีจำนวนผู้ติดตามขั้นต่ำ 1 หมื่นคนขึ้นไป ซึ่งถือเป็นเคพีไอในการประเมินผลการทำงานให้กับลูกค้าด้วย”
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,140 วันที่ 17 - 19 มีนาคม พ.ศ. 2559