เราเอาความเชื่อของเดิมที่มีอยู่ มาบวกกับความนำสมัย โดยไม่ได้เปลี่ยนของเดิม มันเลยน่าสนใจ เราแต่งตัวให้ใหม่ นำความเก่าและความใหม่มาบวกกัน โดยเราไม่ได้เปลี่ยนแปลงงานเดิม
การตลาดกับความเชื่อ (Superstitious Marketing ) สำหรับธุรกิจในบ้านเรา มีให้เห็นเป็นระลอก ตามกระแสความนิยมที่ถูกหยิบจับแบบถูกที่ถูกทางของนักขาย ล่าสุด 2 สาวนักขาย เจน 3 ของครอบครัวที่ทำธุรกิจด้านจิวเวอรี่อยู่แล้ว ‘จัน – จันทรา จันทร์พิทักษ์ชัย’ และ ‘เจนนี่ – เจนจิรา ตรีวิชาพรรณ’ ลูกพี่ลูกน้องที่จับมือกันช่วยสร้างฝันของคุณแม่ให้เป็นจริง กับแบรนด์ 'ไลลา' (Leila)
"คุณจัน" เล่าว่า ได้รับโจทย์จากคุณอา ซึ่งเป็นคุณแม่ของ "น้องเจนนี่" ให้หาวิธีทำให้วัยรุ่นหรือคนรุ่นใหม่ กลับมาสวมใส่เครื่องรางของขลังกันเหมือนวัยรุ่นสมัยก่อน เพราะปัจจุบันเครื่องรางของขลังของคนไทยไม่ได้หายไปไหน บางคนพกติดตัวแบบแต่ไม่ได้โชว์ บางคนมีไว้บูชาแต่เก็บไว้บ้าน คุณแม่ซึ่งสนใจกับของเหล่านี้อยู่แล้ว เกิดความคิดอยากข่วยเหลือวัดที่ลำบาก หากสามารถนำวัตถุมงคลที่วัดมีอยู่แล้ว มาสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้น ก็สามารถช่วยวัดได้อีกทางหนึ่ง เพราะฉะนั้น จึงมีการกำหนดไว้ตั้งแต่เริ่มต้น ว่า 10% ของยอดขายทุกเดือน จะนำไปบริจาคให้กับวัดที่ลำบาก อาทิ วัดพระบาทน้ำพุ
"คุณแม่เป็นนักสะสม โดยเฉพาะเหรียญในหลวงรัชการที่ 9 และชอบเข้าวัด ชอบสะสมเครื่องรางต่างๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศ ท่านรู้เรื่องราวเหล่านี้เยอะมาก”
เครื่องรางและวัตถุมงคลต่างๆ ของ ไลลา ถูกคัดเลือกมาโดยคุณแม่ หลังจากนั้น สองสาวก็ทำหน้าที่ดีไซน์รูปแบบ และการทำตลาด "คุณจัน" ซึ่งมีความรู้ความสามารถด้านงานดีไซน์ ทำหน้าที่ออกแบบรูปแบบของเครื่องรางที่ได้มา โดยไม่ได้ดัดแปลงของเดิม แต่เพิ่มเติมการใส่แพ็คเกจจิ้ง การนำมาใส่กรอบแก้วปิดหัวท้ายด้วยเงิน แล้วนำหินสี หรือหินมงคลมาเติมแต่งให้งานดูมีดีไซน์มากขึ้น แล้วแต่ความชอบของลูกค้า จนทำให้ปัจจุบัน ไลลา กลายเป็นเครื่องรางแฟชั่นสายมู (มูเตลู) หรือคนที่ชื่นชอบศรัทธาหรือมีความเชื่อในเรื่องต่างๆ โดยลูกค้าสามารถตกแต่งเครื่องรางด้วยตัวเอง
แนวคิดการดีไซน์ และการเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้เลือกตกแต่งเครื่องรางเหล่านี้ด้วยตัวเอง ทำให้กลายเป็นเสน่ห์ ที่ทำให้วัยรุ่นหันมานิยมใส่เครื่องรางมากขึ้น จากเมื่อก่อนใครใส่เครื่องรางดูน่ากลัว ดูเชย แต่เมื่อ ไลลา นำมามาใส่ดีไซน์เข้าไป ก็ทำให้ดูน่าสวมใส่มากขึ้น ยิ่งเมื่อเติมความรู้เรื่องที่มาที่ไป และพลังงานของเครื่องรางเหล่านั้นลงไป พร้อมบทสวด บวกกับเชื่อความศรัธา ก็ทำให้เกิดพลังบวก และเมื่อคนประสบความสำเร็จ ก็มีการเล่ากันปากต่อปาก ทำให้กลายเป็นกระแส ทำให้เครื่องรางของ ไลลา กลายเป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน
"เราเอาความเชื่อของเดิมที่มีอยู่ มาบวกกับความนำสมัย โดยไม่ได้เปลี่ยนของเดิม มันเลยน่าสนใจ เราแต่งตัวให้ใหม่ ความเก่าและความใหม่มาบวกกัน โดยเราไม่ได้เปลี่ยนแปลง งานเดิมของวัดเป็นอย่างไร เราเอามาแบบนั้น แล้วเอามาใส่กรอบ มาตกแต่งให้สวยงาม โมเดิร์น ถ้าเราเปลี่ยนแปลง เสน่ห์ตรงนั้นมันจะหายไป มันจะไม่น่าสนใจ"
"เจนนี่" บอกว่า เธอสองคน รวมทั้งคุณแม่ไม่มีความรู้ด้านการตลาด แต่ใช้วิธีการอธิบาย เล่าเรื่องราว พร้อมๆ กับฟังปัญหาและสิ่งที่ลูกค้าต้องการ หลังจากนั้นก็แนะนำให้เขาได้ของดีๆ ที่กลับไป พอเห็นผล เขาก็บอกปากต่อปาก
"คุณจัน" บอกว่า ตอนแรกที่รับโจทย์จากผู้ใหญ่มา เธอวางสเต็ปของการเติบโตของไลลา ไว้เป็นช่วงๆ โดยขณะนี้ ผ่านช่วงแรกของการแจ้งเกิดมาแล้ว ปัจจุบันมีช่องทางขายถึง 6 สาขา มีโซเชียลมีเดีย ทั้ง Instagam@Leila_amulets และเวปไซด์ โดยเป้าหมายของทั้งคู่ ไม่ต้องการเติบโตเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ แต่ขณะนี้กระแสของไลลา ก็ได้รับความนิยมไปในกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ทั้ง จีน ญี่ป่น ไต้หวัน และฮ่องกง แล้ว โดยเฉพาะจีน มีความสนใจและมีความเชื่อเรื่องพวกนี้พอสมควร ถึงขนาดจัดทัวร์ไปวัดก็มีมาแล้ว
สเต็ปต่อไปที่วางไว้ คือ การทำให้ ไลลา สามารถอยู่ได้ตลอดไป ไม่ใช่สินค้าที่มาแค่กระแส
นี่คือความท้าทายที่สองสาวนักขายกำลังเผชิญ ซึ่งทั้งคู่ยอมรับว่า ธุรกิจลักษณะนี้ ยังไม่มีใครที่เป็นต้นแบบ เพราะฉะนั้น ทุกอย่างคือการเรียนรู้ ลองผิดลองถูก หากไม่ใช่ก็แก้ใหม่ และขณะนี้ พวกเธอกำลังพยายามหาแนวทางที่ถูก สำหรับการก้าวเดินต่อไป เพราะอย่างไรเสีย เครื่องรางเหล่านี้ ก็คือ ส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทย ที่ควรจะได้อยู่ต่อไปเรื่อยๆ ยาวๆ และนั่นคือเป้าหมายของนักขาย ผู้สร้างแบรนด์ ไลลา ทั้ง 2 คน
หน้า 22-23 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,456 วันที่ 28-30 มีนาคม 2562