เขียน : ดร. ณัฐวุฒิ พงศ์สิริ
สำนวน “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” เปรียบให้เห็นถึงการกระทำที่ดูไม่สลักสำคัญ เช่นการเด็ดดอกไม้ในสนามหญ้า อาจส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่กับวงจรชีวิตของแมลง ต่อเนื่องเป็นทอดๆ มาสู่มนุษย์แผ่ขยายออกไป จนถึงขนาดทำให้แรงดึงดูดระหว่างโลกและดวงดาวเปลี่ยนแปลงไป
ปรากฏการณ์ “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” ได้รับการอธิบายตั้งแต่เกือบ 60 ปีที่แล้ว โดย เอ็ดเวิร์ด ลอเรนซ์ นักคณิตศาสตร์และนักอุตุนิยมวิทยาของ MIT ดร.ลอเรนซ์ พบว่า การป้อนตัวเลขปฏิสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิและกระแสลมเข้าแบบจำลองคณิตศาสตร์ เพื่อพยากรณ์การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ โดยการปัดตัวเลขตั้งแต่หลักที่ 4 หลังจุดทศนิยมออก ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ แต่กลับพบว่า สภาพอากาศที่จำลองขึ้นมีความแตกต่างออกไปคนละทิศทาง เนื่องจากแบบจำลองดังกล่าวมีรูปร่างคล้ายผีเสื้อกระพือปีกดร.ลอเรนซ์ จึงเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “The Butterfly Effect” ซึ่งหมายถึง การเปลี่ยนแปลงตัวแปรเล็กน้อย ที่เป็นเงื่อนไขแรกของระบบที่เชื่อมโยงกันเป็นทอดๆ อาจส่งผลต่อตัวแปรขนาดใหญ่ของระบบได้ในที่สุด
ในความเป็นจริง ทุกครั้งที่ผีเสื้อกระพือปีกไม่ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง
ขนาดใหญ่ เช่น การเกิดพายุเสมอไป แม้แต่การเคลื่อนที่ที่แรงกว่าการกระพือปีกของผีเสื้อก็อาจจะไม่ได้ทำให้เกิดลมแรงแต่อย่างใด ยิ่งในบริบทของสังคมขนาดใหญ่ การเปลี่ยนแปลงจากระบบเดิมจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยสภาวะแวดล้อมที่สถานการณ์รอบด้านมีความเปราะบางอย่างยิ่ง พลังของคนเล็กๆ รองรับด้วยกระบวนการที่มีแบบแผนบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ จึงจะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้ ปรากฏการณ์ผีเสื้อกระพือปีกจะสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ต้องอาศัยการเกิดสิ่งที่เรียกว่า “สภาวะมวลวิกฤติ (Critical Mass)”
ในทางวิทยาศาสตร์ การสะสมปริมาณใดๆ มากถึงระดับหนึ่ง พอเพียงที่จะเกิดปฏิกิริยาแปรเปลี่ยนทางคุณภาพ เหมือนกับการต้มนํ้าให้เดือด สะสมความร้อนทีละองศาเพิ่มไปเรื่อยๆ จนถึงองศาที่ 99 นํ้าก็ยังไม่เดือด แต่พลันจากองศาที่ 99 ถึงองศาที่ 100 นํ้าจะเปลี่ยนสถานะเชิงคุณภาพ เกิดการเดือด กลายสภาพจากของเหลวเป็นไอนํ้า ดังนั้น จุดองศาที่ 99 ถึงองศาที่ 100 คือตำแหน่งที่มวลของนํ้าอยู่ในสภาวะมวลวิกฤติ (Critical Mass)
ในเชิงสังคมวิทยา จอร์จ วิลเฮล์ม ฟรีดริช เฮเกล (Georg Wilhelm Friedrich Hegel) นักปรัชญาชาวเยอรมัน อธิบายว่า สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้มีพัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปโดยอาศัยพลวัตของความขัดแย้ง กล่าวคือ สภาวะหนึ่งใดที่ดำรงเป็นหลักอยู่ เรียกว่ากระแสหลัก (Mainstream) ย่อมถูกท้าทายด้วยอีกสภาวะหนึ่งซึ่งมีลักษณะตรงกันข้าม เรียกว่าทวนกระแส (Radical) การปะทะต่อสู้กัน ระหว่าง 2 สภาวะนี้ ถ้าถูกเร่งเข้าสู่จุดวิกฤติ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่สภาวะใหม่ ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นกระแสหลัก ซึ่งประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า เมื่อค่านิยม ความเชื่อ รวมทั้งบรรทัดฐานในเรื่องใดเรื่องหนึ่งในสังคมเริ่มเปลี่ยน ในตอนแรกยังมีผู้คนจำนวนน้อยที่ยอมรับความเชื่อใหม่ๆ ต่อเมื่อมีการริเริ่มหรือความกล้าเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้คน สมาชิกพวกทวนกระแสจะเพิ่มขึ้นทีละน้อย ฉับพลันก็ถึงระดับภาวะมวลวิกฤติ โดยที่จำนวนไม่จำเป็นต้องมากกว่าครึ่งก็ได้ พฤติกรรมกระแสหลักเดิมก็จะเฮโลเปลี่ยนค่านิยม หรือความเชื่อ เพียงชั่วข้ามคืน ด้วยปรากฏการณ์ผีเสื้อกระพือปีก (The Butterfly Effect) ได้เคลื่อนไปถึงระดับมวลวิกฤติ แนวคิดที่ทวนกระแสก็จะกลับกลายเป็นกระแสหลักของสังคมเหมือนการเกิดพายุใหญ่โดยทันที
คำถามก็คือ สภาวะมวลวิกฤตในสังคมเกิดขึ้นได้อย่างไร เฮเกล อธิบายว่า ระดับของมวลวิกฤติเกิดจากแรงผลักดันของจิตใจ ที่เริ่มจากความขัดแย้งและความไม่เท่าเทียม ในช่วงแรกของการเปลี่ยนผ่าน คนชั้นนำที่มีอำนาจหรือได้ประโยชน์ในสังคมเดิมที่เป็นกระแสหลักจะต่อต้านการเปลี่ยนแปลง เมื่อจำนวนของพวกทวนกระแสมีมากขึ้นเพราะถูกบีบคั้น ความรู้สึกต่อต้านจะขยายตัวและถูกกักเก็บไว้ในสภาวะมวลใต้วิกฤติ ถ้าสถานการณ์มีความเปราะบางและมีแรงกระตุ้นต่อเนื่อง ก็จะนำไปสู่จุดวิกฤติ ตัวอย่างเหตุการณ์ในปี ค.ศ. 1955 เมื่อ โรซ่า ปาร์ค แม่บ้านผิวสี ในเมืองมองโกเมอรี รัฐอลาบามา ได้ขึ้นรถเมล์และถูกสั่งให้ลุกให้ชายผิวขาวนั่งแทน เมื่อเธอปฏิเสธจึงถูกไล่ลง นั่นคือจุดเริ่มต้นของปรากฏการณ์ผีเสื้อกระพือปีก ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อเรียกร้องความเท่าเทียมกันของคนผิวสีในอเมริกา เรียกว่า Montgomery Bus Boycott จากเหตุการณ์ขัดแย้งเล็ก ๆ ที่ดูเหมือนไม่สลักสำคัญ แต่ได้ส่งผลให้เกิดการประท้วงสิทธิเท่าเทียมกันอย่างสันติ จนเกิด Long March ไปสู่ทำเนียบขาว ภายใต้การนำของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง ซึ่งจำนวนคนเข้าร่วมก้าวถึงระดับมวลวิกฤติ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงค่านิยมของสังคมเรื่องสีผิว นำมาสู่สิทธิเสรีภาพที่เท่าเทียมกันเช่นในปัจจุบัน
นักหนังสือพิมพ์ คาร์ ที. โรแวน เคยกล่าวไว้ว่า “หลายคนมักจะรู้สึกโกรธแค้นความไม่เป็นธรรมซึ่งอยู่ไกลออกไปตั้งครึ่งโลก มากกว่าจะรู้สึกไม่พอใจ การกดขี่และเลือกปฏิบัติ ซึ่งอยู่ถัดจากบ้านตัวเองไปแค่รั้วกั้น” ในบางสังคมที่คนส่วนใหญ่พึงพอใจในสิ่งที่เป็นอยู่ พลังหรือการกระทำของใครสักคนที่ลุกขึ้นมาต่อต้านการกระทำที่ไม่ถูกต้องของคนข้างบ้าน ถ้าสถานการณ์โดยรวมยังไม่เปราะบางเพียงพอ ก็ไม่อาจจะส่งผลกระทบขยายวงกว้างออกไปถึงระดับมวลวิกฤติได้ การกระพือปีกของผีเสื้อ คงทำได้แค่ให้เกสรดอกไม้ฟุ้งกระจาย ไม่อาจขยายตัวไปจนสร้างพายุแห่งการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาในสังคมได้
หน้า 22 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,474 วันที่ 30 พฤษภาคม - 1 มิถุนายน พ.ศ. 2562