ใกล้ถึงหน้าหนาวแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องขึ้นแอ่วเมืองเหนือกันแล้ว ครั้งนี้พาไปลุย “เมืองสามหมอก-แม่ฮ่องสอน” กัน เมืองที่เต็มไปด้วยขุนเขา กว่าจะขึ้นไปถึงแค่ 1,864 โค้งเอง แต่ถ้ามาจากเชียงใหม่โค้งจะมากกว่านี้อีกจ้า...การเดินทางใครจะใช้เครื่องบินก็ไวหน่อย แต่บางช่วงเครื่องอาจขึ้นไม่ได้เพราะเมฆหมอกมากทัศนวิสัยไม่ดีก็อดบิน ใครใคร่มาทางรถยนต์ก็สนุกไปอีกแบบ เลยขอพาลุยทางรถยนต์กันดีกว่าเราเลือกเส้นทางจากแม่สอด ไล่ระขึ้นเขามาทางอ.แม่สะเรียงแปะปักหมุดแล้วกูเกิล แมป แนะนำมาทางนี้เร็วดี ขึ้นแม่สะเรียง จากบ่ายยันคํ่า เราใช้เวลาเดินทางช้าไปหน่อยเหตุเจอฝนกระหนํ่ากลางทางเลยทำเวลาไม่ได้ แต่ก่อนฝนตกวิวระหว่างทางสวยงามมาก จากที่เคยเดินทางมาก่อนหน้านี้ก็หลายปีอยู่...ตอนนั้นค่อนข้างเปลี่ยวไม่มีหมู่บ้าน แต่มา ตอนนี้หมู่บ้านเกิดขึ้นมากตามรายทาง เลยได้เห็นวิว ที่นาแปลงข้าวโพดมากมาย
ถนนสายนี้บางช่วงเลียบขนานไปกับแม่นํ้าเมย ก็จะเห็นฝั่งเมียนมาอยู่ตรงข้าม มีจุดชมวิวให้แวะพักเป็นช่วงๆ เหมือนกัน พลขับก็จะได้หยุดพักขาได้บ้าง ระยะทางที่วิ่งมาเราได้ชื่นชมธรรมชาติที่สวยงามเขียวสด พอพลบคํ่าด้วยความที่อยู่บนเขาฟ้ามืดสนิทบางคราวเหมือนวังเวง พอแหงนมองฟ้า เราแทบจะเอื้อมมือไปคว้าดาวที่ระยิบระยับพร่างพราวเต็มท้องฟ้าทีเดียว สวยงามมาก ทำให้ใจไพล่คิดไปถึงเนื้อเพลงสายทิพย์...แสงดาวสวยพราวดูเด่น เล็งเห็นเหมือนตาของเธอ เฝ้าเพ้อหัวใจละเมอรำพัน..” บลา บลา บลา...เราหยุดพักในเมืองแม่สะเรียงเสีย 1 คืน เพื่อช่วงเช้าจะได้เที่ยวเมืองนี้เสียก่อน
เมืองแม่สะเรียงมีที่เที่ยวอยู่หลายแห่ง เริ่มเอาฤกษ์เอาชัยก่อนเดินทาง ก็ไหว้พระที่วัดสุพรรณรังษี ต่อด้วยวัดจอมทอง ด้วยเวลาที่จำกัดเลยแวะเพียง 2 วัด เราออกเดินทางต่อจากแม่สะเรียงเข้าสู่อ.เมือง แม่ฮ่องสอน ระหว่างทางต้องแวะวนอุทยานแก้วโกมล (ถํ้าแก้วโกมล) ตั้งอยู่บริเวณเขาดอยถํ้า เดิมชื่อ “ถํ้าผลึกแคลไซต์แม่ลาน้อย” ค้นพบโดยวิศวกรนักสำรวจแร่ ภายในเต็มไปด้วยผลึกแร่แคลไซต์ที่ผนังและเพดานถํ้า ผลึกมีรูปร่างลักษณะแตกต่างกัน อาทิ ผลึกคล้ายเกล็ดนํ้าแข็ง ขนาดเล็ก ละเอียด สีขาว ดอกกระหลํ่า ซึ่งเป็นลักษณะเด่นที่สุดของถํ้า โดยเฉพาะเวลาที่สะท้อนแสงไฟสวยงามจับใจมากๆ ผลึกคล้ายเกล็ดนํ้าตาลหรือผลึกแร่ควอตซ์ ผลึกที่จับตัวกันคล้ายปะการัง ผ้าม่าน โคมไฟเพดาน ผลึกงอกและย้อยเป็นเสาและแท่ง บางจุดเหมือน
โขลงช้าง
ภายในถํ้าแบ่งเป็น 5 ห้อง ได้แก่ “ห้องพระทัยธาร” ซึ่งมีที่มาจากการที่นํ้าในถํ้าละลายหินปูนไหลเหมือนเป็นธารนํ้าตก, “วิมานเมฆ” ถูกตั้งขึ้นตามลักษณะของแร่ที่อยู่ตามเพดาน ลักษณะคล้ายปุยเมฆ, “เฉกหิมพานต์” เกิดจากจินตนาการของพระองค์ท่านที่มองแล้วเหมือนอยู่ในป่าหิมพานต์ตามวรรณคดี, “ม่านผาแก้ว” เป็นผลึกแก้วขาวใสที่เกาะอยู่คล้ายกับม่านเต็มถํ้า และ “เพริศแพร้วมณีบุปผา” ถือว่าเป็นห้องที่งดงามที่สุดในถํ้าแก้วโกมล ที่เต็มไปด้วยผลึกแร่ที่ละเอียดเป็นรูปเข็มคล้ายเกล็ดนํ้าแข็ง เปราะบาง แตกหักง่าย
ถํ้าลักษณะนี้พบได้เพียง 3 แห่งในโลกเท่านั้น คือ ประเทศออสเตรเลีย จีน และไทย ค่าเข้าชมอยู่ที่ ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท มีรถพาขึ้นพร้อมมัคคุเทศก์ และมีข้อต้องห้าม คือห้ามถ่ายภาพ ห้ามจับผนังถํ้าโดยเด็ดขาด เพราะเป็นถํ้าที่มีผลึกแร่แคลไซต์ หากสัมผัสกับมือมนุษย์ก็จะทำปฏิกิริยากับโปรตีนในเหงื่อ ทำให้ดำและไม่สามารถเจริญเติบโตต่อไปได้อีก ขอบอกว่าถํ้านี้พอมีแสงไฟสวยไปแบบหนึ่งแต่พอไฟดับใช้แค่ไฟฉายจะยิ่งระยิบระยับสวยงามจับใจมาก
ช่วงนี้เพิ่งเปิดให้เข้าชมหลังจากปิดช่วงหน้าฝนมี 4 เดือน
เมื่อวิ่งลัดเลาะเข้ามาจนใกล้ถึงอ.เมืองจะพบบ่อนํ้าพุร้อนผาบ่อง แวะเข้าไปแช่เท้าแก้เมื่อยสักนิดก็ดี พอออกมาก็ไปเดินชมสะพานชาวไตหรือไทใหญ่และชาวปกาเกอะญอ ซึ่งอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียวมานานนับร้อยปี คือ สะพานข้าว ๙ ก้าวเพื่อสุข สะพานไม้ไผ่ทอดยาวกลางทุ่งข้าวโอบล้อมไปด้วยขุนเขา สดชื่นด้วยบรรยากาศที่แสนบริสุทธิ์และความเป็นธรรมชาติ
ขึ้นสู่อ.เมืองเราทันขึ้นไปไหว้วัดพระธาตุดอยกองมู พร้อมชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงาม ลงมาไปไหว้พระที่วัดคู่บ้านคู่เมือง วัดจองคำและวัดจองกลางวัดคู่แฝดกลางเมือง ชมของโบราณที่วัดนี้ แล้วเดินชมถนนคนเดินที่ช่วงนี้พิเศษหน่อยเปิดขายทุกวันยาวถึงเดือนมีนาคมปีหน้า
ขากลับอย่าลืมแวะไหว้พระนอน ชมพิพิธภัณฑ์ที่มีของโบราณหาชมยากทั้งสิ้น และวัดกํ้าก่อ วัดเก่าแก่กว่า 130 ปี...มาเยือนเมืองนี้ต้องค่อยๆ ใช้เวลาไปในแต่ละที่ค่อยๆ ปักหมุดกันไปว่าจะไปจุดไหน ที่แน่ๆ ขึ้นมา
ชมช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม จะได้ชมดอกบัวตองบานสะพรั่งเต็มไปหมด แต่หากไปช่วงนี้ก็เริ่มทยอยบานแล้วแต่ยังไม่มาก...มีโอกาสอย่าลืมไปสัมผัสโค้ง ชมภูเขาดูดาวกัน..
หน้า 23 ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,517 วันที่ 27 - 30 ตุลาคม พ.ศ. 2562