กล่าวถึงข้อเด่นข้อด้อยของหนังเรื่อง Batman V Superman: Dawn of Justice จากกระแสเสียงแตกของคนดูที่แยกเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจน ถ้าคุณไม่รักก็เกลียดหนังเรื่องนี้ไปเลย
ข้อเด่นของ Batman V Superman: Dawn of Justice คงเป็นที่การที่เราได้ตัวละครอย่าง แบทแมน วันเดอร์วูแมน ซูเปอร์แมน มาอยู่บนจอเดียวกัน พร้อมฉากแอ็คชั่นที่จัดเต็มน่าขนลุกการที่ได้เห็น แบทแมนและซูเปอร์แมน ต่อสู้กัน ดูแล้วมีความรู้สึกหวาดหวั่นในบางอย่างเหมือนบางอย่างกำลังพังทลายลงเรื่องไม่ควรเป็นแบบนี้เหมือนเป็นตัวละครที่เราผูกพันมาตั้งแต่เด็กและเราไม่อยากให้ทั้งสองต้องสู้กันแต่ถึงจะรู้สึกแบบนั้น ฉากการต่อสู้ของทั้งสองก็ยังสนุกอยู่ดี และการขยายจักรวาลดีซีที่เปิดเผยตัวละครต่างๆ เพื่อส่งเสริมเนื้อเรื่องไปยังภาพยนต์รวมดาวฮีโร่อย่าง Justice League ไม่ว่าจะเป็น อะควาแมน, เเฟลช และ ไซบอร์ก
ซึ่งข้อด้อยของหนัง Batman V Superman: Dawn of Justice คือมันถูกสร้างมาเพื่อคนที่มีพิ้นฐานเรื่องซูเปอร์ฮีโร่หรืออ่านการ์ตูนของ ดีซี คอมมิค มาก่อนพอประมาณ แฟนการ์ตูนจะสามารถสนุกกับเนื้อเรื่องได้อย่างง่ายดายแต่สำหรับคนทั่วไปที่ไม่เคยอ่านการ์ตูนมาก่อน ในช่วงแรกของหนังค่อนข้างน่าเบื่อและดูไม่รู้เรื่องจากการที่หนังใช้การตัดต่อที่สลับไปมาชวนในคนดูเกิดการสับสนและไม่ประติดประต่อ เหตุผลของตัวละครที่ไม่เข้าท่า ซึ่งหนังไม่คิดจะอธิบายเลยว่าทำไมต้องทำเช่นนั้น
ซึ่งกระแสด้านลบนี่เองที่ทำให้บรรดาเเฟนหนังที่คาดหวังกับเรื่องนี้ไว้พากันบ่นด่าและวิจารณ์ Batman V Superman: Dawn of Justice แบบเสียหายจนมันเป็นกระแสด้านลบที่มีผลกระทบในวงกว้างว่าหนังเรื่องนี้ห่วยเกินไปกว่าที่ควรจะเป็น แต่รายได้ใน 5 วันแรกของหนังก็กลายเป็นสิ่งที่เข้ามาต่อต้านกระแสด้านลบนี้ เพราะตั้งแต่วันที่หนังฉายจนปัจจุบันนี้ ตั้งแต่วันที่ 24 - 30 มีนาคม 2559 หนังกวาดรายได้เฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกาไปแล้ว $193,228,006 เหรียญ ซึ่งทำลายสถิตฉายเปิดตัวหนังหลายๆ เรื่องในเดือนเดียวกันขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ และรายรับทั่วโลกไปแล้วที่ $501,828,006 เหรียญ ซึ่งจากที่สังเกตุถึงทุนสร้าง $250 ล้านเหรียญก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีแต่หากรวมงบโฆษณาไปด้วยแล้วล่ะก็ หนังต้องทำรายได้กว่า $800 ล้านเหรียญถึงจะเรียกได้ว่ารอดพ้นและสามารถเดินหน้าโปรเจ็คหนังในจักรวาลดีซีได้อย่างไม่เจ็บตัวนัก
แต่ถึงกระนั้นพลังของเหล่าเเฟนการ์ตูนที่รักและชื่นชอบในตัวละครก็ยังคงเป็นเกราะป้องกันชั้นดีให้กับหนังเรื่่องนี้อีกทั้งการที่ เเซ็ค ชไนเดอร์ ได้เปิดเผยถึงเวอร์ชั่นความยาว 3 ชั่วโมง และ เรทภาพยนต์ที่ เรท R จะปล่อยออกมาลงเเผ่น DVD และ Blu-Ray ก็ทำให้กระแสความอยากดูหนังเรื่องนี้ของเหล่าเเฟนๆ กลับทวีเพิ่มมากขึ้นและบ่นด่าไปในเวลาเดียวกันว่าทำไมต้องมีการตัดบางฉากออกไป หนังจะดีขึ้นหรือไม่ถ้าเป็นเวอร์ชั่นเต็มแต่ เเซ็ค ชไนเดอร์ ก็แจงเหตุผลที่เขาต้องตัดตัวหนังบางส่วนออกไปว่า "มันทำให้ฉายง่ายขึ้นในเรท PG-13 และเขาก็ยังไม่ใช่ เจมส์ คาเมรอน ที่จะบอกทางค่ายหนังว่า ถ้าหนังมัน 3 ชั่วโมง มันก็ต้อง 3 ชั่วโมง" แหละนี่คือปรากฎการณ์ที่ Batman V Superman: Dawn of Justice สร้างขึ้นคือ มีทั้งคนรักและคนเกลียดหนังเรื่องนี้ไปเลย และแฟนการ์ตูนเท่านั้นที่รอดจากการชมภาพยนต์เรื่องนี้ เพราะหนังขาดแคลนเหตุผลและบทที่ลื่นไหล คนดูอาจผิดหวังแต่ว่าหนังก็ไม่ได้ขาดแคลนความสนุกในฉากแอ็คชั่นเลย และสามารถตอบโจทย์ความฝันในวัยเด็กของผู้เขียนได้ตรงที่ผู้เขียนเองเคยเอาโมเดลของทั้ง แบทแมน และ ซูเปอร์แมน มาเล่นต่อสู้กันมันเป็นเเค่การเล่นในวัยเด็กแต่ว่าวันนี้มันก็เกิดขึ้นจริงแล้วบนโลกภาพยนต์
Batman V Superman: Dawn of Justice เล่าเรื่องราวโดยอาศัยบริบทของตัวละครที่แตกต่างกัน นำไปสู่เรื่องราวอันน่าขมขื่นเมื่อมองให้ลึกลงไป ตัวละครแต่ล่ะตัวก็ต่างมีเหตุผลเป็นที่ผลักดันในเกิดการกระทำของตน