ผศ.ดร.พิมลมาศ วรรณคนาพล คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวว่า การกองสุมสิ่งต่างๆ ไว้ในที่พักอาศัย เป็นต้นทางของปัญหาสุขภาพกายและสุขภาพจิต หนำซ้ำยังเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดกลุ่มโรคตึกเป็นพิษ หรือ Sick Building Syndrome (SBS) ที่เป็นผลมาจากความปิดทึบ อากาศไม่ถ่ายเท ฝุ่นละอองและเชื้อราที่สะสมไว้จำนวนมาก ดังนั้นในช่วงเทศกาลปีใหม่ซึ่งมีวันหยุดยาว ถือเป็นฤกษ์ดีในการลุกขึ้นมาจัดบ้าน เคลียร์ข้าวของ ทำความสะอาด
ทั้งนี้สาเหตุสำคัญของการเกิดกลุ่มโรคตึกเป็นพิษคืออากาศที่ระบายไม่ดี โดยเฉพาะในห้องแอร์ที่ไม่มีการเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทจากภายนอก เมื่ออากาศไม่หมุนเวียน บรรดาฝุ่นละออง สารเคมี หรือเชื้อราที่เกิดขึ้นก็จะสะสมตัว และก่อให้เกิดผลกระทบกับผู้ที่อยู่ภายใน
พิมลมาศ วรรณคนาพล
“ตามบ้านพักอาศัยอาจมีการใช้พวกสารเคมีทำความสะอาด สเปรย์ต่างๆ หรือถ้าในอาคารสำนักงาน ก็จะมีละอองจากพวกหมึกพิมพ์ปรินเตอร์ เครื่องถ่ายเอกสาร ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เมื่อมารวมกับการระบายอากาศที่ไม่ดี ก็ยังยิ่งทำให้คนป่วยด้วยกลุ่มโรคตึกเป็นพิษ”
เช่นเดียวกับบรรดาข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น เฟอร์นิเจอร์ พรม หมอน ผ้าม่าน ตุ๊กตา ฯลฯ ที่นับเป็นแหล่งรวมของเชื้อโรค รวมถึงเทรนด์การปลูก “ต้นไม้” ไว้ในห้อง ซึ่งแม้ว่าจะทำให้รู้สึกร่มรื่น แต่ก็มาพร้อมกับความชื้นที่ทำให้เกิดเชื้อราสะสมได้ ยังไม่นับโรคพืชหรือแมลงที่จะเข้ามาอยู่ในห้องอีก
ฉะนั้น หลักการสำหรับจัดที่อยู่อาศัยให้ดีก็คือ “น้อย” และ “เรียบง่าย”
ส่วนผู้ที่อาศัยอยู่ใน “คอนโดมิเนียม” จะเผชิญกับปัญหา Sick Building Syndrome ได้มากกว่าผู้ที่อยู่บ้าน ดังนั้นควรติด “พัดลมดูดอากาศ” ในห้อง และ “เครื่องดูดควัน” ในครัว พร้อมกับทำความสะอาดที่พักอย่างสม่ำเสมอ
สำหรับการจัดบ้านรับปีใหม่นี้ มีข้อแนะนำ คือ 1. ลดแหล่งเก็บกักฝุ่นภายในห้องให้น้อยที่สุด อะไรทิ้งได้ให้ทิ้งไป 2. หมั่นทำความสะอาดห้องสัปดาห์ละ ๑-๒ ครั้ง 3. ล้างแอร์ทุกๆ ๖ เดือน 4. หากห้องใดอยู่แล้วรู้สึกไม่ดีขึ้น ควรเพิ่มตัวระบายอากาศ
“เริ่มจากง่ายที่สุดคือการทิ้งข้าวของที่ไม่จำเป็นออกให้หมด แต่คนมักคิดว่ามีเครื่องฟอกอากาศแล้วทุกอย่างจะจบ จริงๆ มันไม่จบ เพราะต่อให้คุณมีเป็นสิบเครื่อง ถ้าห้องไม่เคยทำความสะอาด ไม่มีการระบาย สุดท้ายก็จะป่วย”
อรพรรณ โพชนุกูล
สอดคล้องกับ ศ.พญ.อรพรรณ โพชนุกูล รองอธิการบดีฝ่ายการนักศึกษา มธ. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านโรคภูมิแพ้ โรคหืดและระบบหายใจ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ที่ให้ข้อมูลเสริมว่า ราว ๑ ใน ๓ ของคนเมือง มีโอกาสเผชิญกับกลุ่มโรคตึกเป็นพิษ
สำหรับกลุ่มโรคนี้ จะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพในการทำงานที่ลดลง และหากเกิดกับผู้ที่มีอาการเดิม เช่น ภูมิแพ้ หรือหอบหืด ก็จะยิ่งเร้าให้ป่วยรุนแรงขึ้น เลวร้ายที่สุดอาจพัฒนาไปสู่การเป็นมะเร็งปอดได้
“ห้องที่ควรมีการปรับมากที่สุดคือห้องนอน เพราะเป็นห้องที่เราใช้เวลามากที่สุดในบ้าน ควรทำให้โล่ง ลดแหล่งสะสมสารก่อภูมิแพ้ให้มากที่สุด เช่น พรม หรือตุ๊กตา หมั่นทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์ต่างๆ ควรมีมาตรการในการตรวจสอบคุณภาพอาคารเป็นระยะ ไม่ใช่เฉพาะแค่ในแง่วิศวกรรม แต่ต้องคำนึงถึงเรื่องสิ่งแวดล้อม คุณภาพอากาศด้วย ขณะที่ผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ภายในอาคารก็ต้องหมั่นให้ความสนใจและสังเกตอาการของตัวเองด้วย”